เมืองคนบ้า ตอนที่ 3


เมืองคนบ้า ตอนที่ 3


               ท่านผู้อ่านขอได้โปรดทราบว่านี่เป็นนิทานขี้โม้ สำหรับอ่านเพื่อความบันเทิงเท่านั้นนะครับ เดี๋ยวจะคิดว่าเป็นเรื่องจริงก็จะยุ่งกันไปใหญ่ เป็นนิทานที่สอดแทรกคำสอนของครูบาอาจารย์บ้างหรือให้แง่คิดสะกิดใจบ้าง ก็มีเท่านี้เองครับ

               หลังจากปี2549 ที่บังเอิญผ่านไปเห็นพิธีกรรมดังกล่าวเข้า ผ่านไป 3 ปี หลุมที่มีขนาดใหญ่ขึ้น จำนวนเจตภูตที่ขึ้นมาตลอดทั้งวันทั้งคืน แทรกซึมไปยังผู้คนในเมืองหลวงเป็นจำนวนมาก เพื่อนๆคนรู้จัก แม้แต่คนในครอบครัวบางคนก็เริ่มแปรเปลี่ยนไป จากที่เคยพูดกันดีๆก็เปลี่ยนเป็นพูดคำด่าคำ ใช้ถ้อยคำรุนแรง เรื่องเล็กๆน้อยๆ เรื่องไม่เป็นเรื่อง แค่มีความเห็นไม่ตรงกันก็ทะเลาะกันรุนแรง ด่าทอหยาบๆคายๆอย่างที่ผมไม่เคยเจอกันมาก่อน ผู้คนในเมืองสิแอ่ม จึงถูกแบ่งออกไปเป็น 3 ฝ่าย มีสองฝ่ายที่ทะเลาะกันรุนแรง ตัดญาติขาดมิตร และฝ่ายที่ 3 ที่เจตภูตแทรกซึมไม่ถึง เป็นผู้ที่มีจิตใจฝักใฝ่ในบุญกุศล มีการทำบุญ ทำทานเป็นปกติ สวดมนต์ เจริญภาวนา มีอารมณ์ทรงฌาน ได้บ้าง  กลุ่มนี้น่าสนใจตรงที่ว่า สำหรับนักบวชผู้ทรงคุณธรรมขั้นสูง เจตภูตเข้าใกล้ไม่ได้ ลดลำดับลงมาจนถึงผู้ทรงฌาน อันนี้เจตภูตเข้าใกล้ได้แต่ว่าจะแทรกซึมเข้ามาไม่ได้ กับผู้ที่ทำบุญสุนทานสวดมนต์ ภาวนาได้บ้างไม่ได้บ้าง คนกลุ่มนี้จะเห็นว่าเจตภูตจ่อถึงตัว มีการแทรกเข้าได้ช่วงที่เผลอแล้วถอนตัวออกเวลามีการทำบุญ สวดมนต์ เวลาที่ถูกแทรกเข้าไปได้ คนกลุ่มนี้จะรู้สึกหงุดหงิดง่าย จู่ๆก็โมโหขึ้นมา พอกลับมาบ้านสวดมนต์ไหว้พระเสร็จ ก็มานั่งนึกว่าทำไมหนอ เราถึงกลายเป็นคนขี้โมโห ขี้หงุดหงิดขึ้นมาได้อย่างนี้นะ พอได้ทำบุญ ทำทาน ได้สนทนาธรรม ได้ฟังธรรมะ ก็จะสบายใจขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่เจตภูตต้องถอยห่าง แต่พอห่างจากการทำบุญ สวดมนต์เมื่อไหร่ก็จะเข้าแทรกได้ทันที

               นักบวชที่ยังไม่สามารถทรงคุณธรรมเอาไว้ได้ ก็ถูกแทรกซึมเข้าไป ไม่เกี่ยงศาสนา ไม่เกี่ยงอายุ ไม่เกี่ยงฐานะ ยศศักดิ์ ตำแหน่งใดๆ จึงเกิดเรื่องอื้อฉาวในหมู่นักบวชของบางศาสนา ที่กระทำความผิด หรือก่อความรุนแรง ให้ได้เห็นเพิ่มมากขึ้นอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้เลย จากเมืองหลวงก็กระจายไปยังเมืองต่างๆ เกิดความขัดแย้ง ความแตกแยก รุนแรงอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ ก็เป็นไปแล้ว ที่น่าแปลกคือ เรื่องนี้เกิดขึ้นเฉพาะกับเมืองสิแอ่มเท่านั้น ประเทศรอบๆไม่เกิดเรื่องแบบนี้ พวกเจตภูตก็ไม่แทรกซึมผ่านไปยังประเทศอื่นๆ สันนิษฐานว่า อาจจะมีปัญหาเรื่องวีซ่าไม่ผ่านก็เป็นได้ครับ

               ย้อนมาถึงนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ผู้ซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตีในการทำให้เกิดพิธีกรรมนี้ขึ้น คฤหาสต์หลังใหญ่สีขาวเบื้องหน้า รั้วสีขาวสูง สถานที่ประกอบพิธี อยู่ด้านหลังออกไป อาคารที่เก่า สกปรก กับคนที่ร่วมกันทำพิธีไสยศาสตร์ ที่เหมือนคนไม่ได้อาบน้ำมาหลายปี คนพวกนี้วันๆก็แทบไม่ได้พูดคุยอะไรกัน ตัวนายใหญ่เป็นคนที่มีบารมีมากคนหนึ่ง เคยสนใจในการปฏิบัติทางจิตมาก่อน อาศัยที่บุญเก่าที่ทำเอาไว้มากจึงมีผลในความก้าวหน้าได้ดี จนกระทั่งกฎของกรรมเข้ามาปรากฏ ทำให้ได้ย้อนไปเห็นถึงสมัยที่ตนเองเคยเป็นใหญ่ในดินแดนแถมนี้ เมื่อพันกว่าปีก่อน การสู้รบยืดยื้อยาวนาน เสียดินแดนที่เคยยึดครองไปเรื่อยๆ จนในที่สุด ถูกฆ่าจนหมดสิ้น เมื่อไปเห็นเข้าแล้วแทนที่จะเกิดปัญญาว่า นี่หนอ กิเลส ตัณหา ของสัตว์โลก ทำให้เข่นฆ่ากัน จนต้องเกิดเวรก่อกรรม ให้ต้องเวียนตายเวียนเกิดกันไม่รู้จักจบสิ้น แล้วเกิดความสลดปลงธรรมสังเวช กลับมาพิจารณาในชาติปัจจุบันนี้ ให้เร่งรัดความเพียรหาหนทางพ้นทุกข์จากการเวียนตายเวียนเกิดนี้เสีย ก็จะเป็นไปตามแนวทางที่ครูบาอาจารย์ได้แนะนำสั่งสอนมา แต่กลับกลายเป็นการเอาความแค้นในอดีตกลับมาในโลกปัจจุบันแล้วหาทางแก้แค้นทำลายล้างให้จงได้ โดยอ้างเหตุของกรรมที่เคยถูกกระทำมา

               เวรไม่เคยระงับได้จากการจองเวร แต่เวรจะระงับได้ด้วยเมตตาธรรม ไม่จองเวรต่อกัน ส่วนกรรมใดใครทำเอาไว้ เขาย่อมต้องได้รับผลกรรมของเขาเอง เหมือนเช่นดังข้าพเจ้าก็นั่งรับกรรมที่เคยทำระยำเอาไว้มิใช่น้อย ผ่านศึกมาหลายชาติ เข่นฆ่ามาเลือดนองแผ่นดิน ชาตินี้ตั้งใจจะทำความดีครูบาอาจารย์ยังส่ายหน้า ครูบาอาจารย์บางรูปท่านก็เมตตานั่งด่าอยู่ 2 ชั่วโมงบ้าง 3 ชั่วโมงบ้าง ผมก็หน้าด้าน นั่งพนมมือฟังท่านด่า ทั้งศาลาหนีกันหมด เหลือผมนั่งรับอยู่คนเดียว จนลูกศิษย์ใกล้ชิดยังชื่นชมเลยว่าอยู่กับหลวงปู่มา 30 ปี ยังไม่เคยเห็นหลวงปู่ด่าใครนานขนาดนี้มาก่อนเลย สำหรับผมนั้น ผมคิดว่าอดีตก็ผ่านไปแล้ว อนาคตก็ยังไม่มาถึง ปัจจุบันนี้เราอย่าทำชั่วอีกเลย ให้เพียรทำในสิ่งดีๆที่ครูบาอาจารย์สั่งสอน ทำดีแล้ว ก็ดีแล้ว มันจะได้ชั่วเพราะผลของกรรมเก่า ก็ไม่ได้ว่าอะไร ความดีมันจะไม่ส่งผลในชาตินี้ ก็ไม่เป็นไร แต่จริงๆแล้วความดีที่ทำในชาตินี้ส่งผลแล้ว ส่งผลให้เกิดความสบายใจในขณะที่ได้ทำ นึกถึงบุญที่ได้ทำเวลาใดก็รู้สึกอิ่มใจ เท่านี้สำหรับผมก็พอใจแล้ว ส่วนผลของความดีไม่เกิดแบบคนอื่นๆเขานั้น ผมก็ไม่ได้คาดหวังอะไร แม้จะเกิดผลร้ายหายนะ ผมก็ยังคงเลือกที่จะทำความดีต่อไป หลวงปู่บอกว่า ทำชั่วมาร้อยชาติทำดีชาตินี้ชาติเดียวแล้วจะให้มันได้ดีเดี๋ยวนี้เลยมันจะได้ไม๊?

               เรื่องของเมืองคนบ้านี้ จะจบลงเอาตอนไหน ผมเองก็ยังไม่ทราบได้ มองดูแล้วยังคงไม่จบลงง่ายๆ ด้วยกฎของกรรมเข้ามาบีบรัดให้ผู้มีบารมีผู้นี้ไม่อาจหนีพ้นไปจากความอาฆาตแค้นได้ คำว่าอโหสิกรรมจึงไม่มี นอกจากตัวเองจะไม่อโหสิกรรมแล้ว ยังได้รวบรวมกลุ่มพวกของตนที่เคยสู้รบแล้วถูกฆ่าตายในครั้งนั้นขึ้นมาเป็นกลุ่มก้อน ด้วยการนำหมู่คณะร่วมสร้างถาวรวัตถุเพื่อเสริมบุญบารมีในหมู่คณะของตน เพื่อจะกลับมาเป็นใหญ่ในแผ่นดินนี้อีกครั้ง เมื่อผมผ่านไปพบเห็นเข้า ก็ได้เล่าเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาให้ฟัง และบอกถึงแผ่นดินผืนสุดท้ายที่สู้รบกันจนพวกของเขาสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ว่าอยู่บริเวณไหน เมื่อเขาเหล่านั้นไปยังสถานที่นั้น จึงรู้สึกผูกพันอย่างบอกไม่ถูก ผมหวังและขอให้พวกเขาอโหสิกรรมให้กับกรรมในอดีตที่เคยเกิดขึ้น หยุดการจองเวรจองกรรมต่อกัน ขอแล้ว 3 ครั้ง เขาเหมือนฟัง แต่ไม่ได้ยิน  ผมไม่ได้ว่าอะไรอีก แล้วก็เข้าใจพวกเขาเช่นกัน วันนั้นพวกเราฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างไร้เมตตาปราณี วันนี้จู่ๆจะมาบอกให้พวกเขาอโหสิกรรมให้ ทั้งๆที่มันเป็นแผ่นดินของพวกเขามาก่อน ใครมันจะยอมอโหสิกรรมกันล่ะ

               นิทานขี้โม้ตอนนี้ก็เครียดๆปนดราม่ามากไปหน่อยนะครับ อย่าเก็บเอาไปเป็นอารมณ์ถือเป็นจริงเป็นจังไป เป็นแต่เรื่องเล่าไม่เอาสาระ ถ้าจะมีสาระอยู่บ้างก็คงเป็นคำแนะนำว่า ขึ้นชื่อว่าบาปแล้ว อย่าทำเสียเลยจะดีกว่า เพราะเมื่อผลของบาปได้ปรากฏขึ้นวันใดความทุกข์ความเศร้าหมองย่อมมีแก่ตนให้เร่าร้อนทุรนทุราย ละบาป ทำบุญ ทำจิตใจให้ผ่องใส เป็นหนทางที่ถูกต้องตามที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสสอนเอาไว้ดีแล้ว นิทานเรื่องเมืองคนบ้า ก็ขอจบเอาไว้แต่เพียงเท่านี้... สวัสดี..

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ศาสตราวุธในโลกวิญญาณ

กรรมมันหนีไม่ได้หรอก

บทนำ นิทานขี้โม้