ทิพยจักขุญาณ

ทิพยจักขุญาณ

                จับภาพพระพุทธรูปเป็นอารมณ์ บริกรรมคำว่า นะมะพะทะ แบบนี้เป็นของไม่ยาก เพราะภาพพระพุทธรูปนี่จับใจไว้ตั้งแต่เด็กแล้ว การบริกรรมก็เปลี่ยนจากพุทโธ มาเป็นนะมะพะธะ ไม่ยากเท่าไร การฝึกครั้งแรก มืดสนิท เพราะว่าจะไปเอาตาเพ่ง อยากเห็นก็ด้วย ไม่เลยไม่ได้เรื่อง วันรุ่งขึ้นฝึกอีก ก็เละเหมือนเก่า มืดไปหมด รอไปอีกเดือนนึง ฝึกใหม่ คราวนี้ก็เริ่มเห็นลางๆ เหมือนเดินไปในที่หมอกลงจัด หลวงพ่อบอกว่า พวกที่สามารถเห็นได้ แม้ว่าจะจางๆเหมือนหมอกลงจัดนี้ พวกนี้ต้องฝึกมาเป็นแสนชาติ ถ้าไม่เคยได้วิชานี้มาก่อนเลย ฝึกเอาชาตินี้เป็นชาติแรกแล้วล่ะก็ ฝึกไป 100 ปีก็ไม่เห็นอะไรหรอก

                น่าสงสัยว่า จะเป็นการสะกดจิตหมู่หรือเปล่า หรือว่าอุปทานจากการที่ได้เคยอ่านมาก่อน หรือมันคือการที่เราเหนี่ยวนำเอาความรู้สึกที่คนอื่นๆรับรู้มาเป็นสิ่งที่เรารู้ สารพัดจะสงสัยและมีคำถาม แต่ก็ฝึกไปเรื่อยๆ ชัดบ้างไม่ชัดบ้าง แต่ส่วนมากไม่ชัด ฝึกได้สัก 8 เดือนก็เลิก สาเหตุที่เลิกก็มีอยู่ว่า ตอนนั้นยังเรียนหนังสืออยู่ก็ไปพักที่บ้านพักครูของพี่สาว กลางคืนทำสมาธิไปก็เห็นผีผู้หญิง ที่นอนตายอยู่ที่เสาต้นนึงของบ้านพักครู ลึกลงไปสัก3-4 เมตร เธอนอนตายมาหลายปีแล้ว ใส่ชุดนอนสีขาว เห็นแล้วก็ให้สงสัยว่า ได้ประโยชน์อะไรจากการเห็นเธอผู้นี้เหรอ? เป็นคำถามที่ตั้งเอาไว้ แต่ไม่มีคำตอบ

                ไปเห็นจิตของภารโรงที่เป็นมุสลิมข้างบ้าน แกมีใจสีดำ มีอาทิสมานกาย หรือว่ากายภายในเป็นอสุรกายดำ ตัวใหญ่ นี่คือภพภูมิที่ภารโรงคนนี้ถ้าตายไปเมื่อไร จะไปเป็นอสุรกาย เพราะความที่มีจิตใจโหดร้าย หยาบกระด้าง เห็นแล้วก็นึกย้อนมาดูใจตัวเองว่า มันทำให้ใจเราดีขึ้นหรือเปล่า? เห็นแล้วได้อะไรขึ้นมา ใจเรามันก็เลวเหมือนเดิม อย่ากระนั้นเลย เราควรเลิกไปเสือกเรื่องชาวบ้าน แล้วหันมาเสือกเรื่องตัวเองจะดีกว่าไหม? เสือกเรื่องตัวเองก็ต้องมาดูความชั่วในจิตใจตัวเอง ไม่ต้องไปยุ่งเรื่องภายนอก เราไปหาฝึกสติให้มากๆดีกว่า แล้วเดินสายวิปัสสนา หาทางพ้นทุกข์ให้หลุดออกจากใจเราจะมีประโยชน์กว่าการไปเที่ยวเห็นโน่นเห็นนี่

                จากนั้นมาก็ไม่ได้สนใจในเรื่องทิพยจักขุญาณ จะเห็นไม่เห็นก็ไม่รู้สึกยินดียินร้ายอะไร เห็นแล้วก็เท่านั้น ไม่มีค่าอะไรกับไม่เห็นก็เท่านั้นไม่รู้สึกว่าน่าสนใจอะไร ใจมันเฉยๆไปเสียแล้ว นี่แหละครับ เวลาฝึกอยากจะเห็นโน่นเห็นนี่ ไม่ค่อยจะเห็นอะไรหรอก เวลาไม่สนใจแล้วนั่นแหละ เสือกเห็นไปทั่ว แต่ว่าเห็นแล้วก็ช่างมัน ไม่ได้เล่าอะไรไป เพราะไม่สนใจจะเล่า แต่ว่าเวลานี้แก่แล้ว เล่าทิ้งไว้เป็นนิทานขี้โม้ เอาเป็นเรื่องสนุกสนานกันไป ไม่เอาเป็นสาระ

                ไปนรก ก็ตระเวนนรกแล้วแต่ไม่กี่ขุม เอาขุมที่คุ้นเคยชอบมาบ่อยๆ ไปตระเวนสวรรค์ก็ไปดู ไปเยี่ยมแม่บ้าง พี่สาวบ้าง แล้วก็ไม่มีอะไรมาก ไปดูพรหมก็ไปเจอเพื่อนเก่าๆ แล้วก็ชอบถามจังนะว่า แกจำฉันได้ไหม น่าจะรู้ว่าจำไม่ได้ จะถามทำไม? ไปดูอรูปพรหม ก็ไม่เห็นจะมีอะไร พวกนี้อีกนิดเดียวจะเข้านิพพานได้แล้ว น่าเสียดายมาก ซวยหนักจริงๆครับ ลงไปบาดาลก็เจอพญานาค ซึ่งก็ไม่เห็นจะเหมือนอย่างที่หนังสือเขียนเล่ากันมาเลยครับ สงสัยเหมือนกันว่าเรานี่ท่าจะบ้าไปแล้ว ไปเจอพญาครุฑก็ให้สงสัยว่าทำไมท่านมีหลายตนขนาดนั้น มีตัวเมียหรือว่าผู้หญิงด้วย มีวัยรุ่นหนุ่มสาว ไอ้เราก็นึกว่ามีตัวเดียวตามตำนานเล่าไว้ ย้อนไปดูท่านมหาฤษีผู้ประดิษฐ์คิดค้นคาถา ท่านทำกันยังไง ทำไมคาถาท่องกันงึมๆงัมๆไม่รู้เรื่องเลย แต่ว่าศักดิ์สิทธิ์ ให้ผลได้ด้วย


                ไปดูดาวดวงอื่น ตามรอยหลวงพ่อไปดูว่า มนุษย์ต่างดาวพวกนี้เขามาจากไหนกัน วิทยาการไปถึงไหนแล้ว ทำไมไม่มาคบหาชาวโลกบ้าง ย้อนกลับมาดูอาณาจักรแอตแลนติส เพราะมนุษย์ต่างดาวบางท่านนี่บอกว่า บรรพบุรุษมาจากแอตแลนติสที่ถล่มล่มสลายในคืนเดียวนี่แหละ พวกนี้นั่งยานสำรวจออกมาก่อน เลยรอดตัวไป ช่วง 12000-13000 ปีก่อน มีก้อนพลังงานแปลกๆ ที่เปล่งแสงได้ ควบคุมก้อนหินได้ อันนี้ดูแล้วไม่เข้าใจจริงๆ ไปใต้ท้องทะเลลึกก็แวะไปดูว่ามีอะไรบ้าง คนป่าตายแล้วไปไหนกัน คนแขกต่างศาสนาตายแล้วไปไหนกัน มนุษย์ต่างดาวตายแล้วไปไหนกัน จะมาตกนรกร่วมกันไหม ไปดูเทวดาเมืองแขกบ้าง ดูเทพารักษ์บ้าง ตามประสาคนบ้าๆบอๆ ที่ไม่ได้อยากจะไปดูหรอก ฝึกสมาธิไปมันก็ไปโผล่ตรงโน้นที ตรงนี้ที ไปโผล่ป่าหิมพานต์ ซึ่งไม่มีมะม่วงหิมพานต์ แล้วก็ไม่มีป้ายปักบอกไว้ว่า ที่นี่คือป่าหิมพานต์ แล้วเราจะไปรู้ได้ไง เมืองลับแลหรือเมืองบังบด เป็นโลกทิพย์ที่ซ้อนมิติอยู่บนโลกปัจจุบัน ยังมีเง็กเซียนฮ่องเต้ เป็นใครยังไงเหรอ พวกเซียนๆทั้งหลายของจีนเขาบำเพ็ญตบะกันยังไง ไปหาพระเยซู เพราะสงสัยคำสอนท่านที่ให้ล้างบาปได้ กับแวะไปหาดูว่า ท่านนบีมูฮัมหมัดท่านไปอยู่ที่ไหนนะ แต่อันนี้เล่าไม่ได้ เอาไว้ท่านที่แวะไปเที่ยวแบบนี้ได้ก็จะรู้เอง กาลเวลาเนิ่นนานผ่านมาบรรจบครบ 30 ปี ก็เลยเอามาทยอยลงเล่าเอาไว้ พอจะเป็นนิทานขี้โม้ ได้สักเล่มหนึ่ง ค่อยๆเล่าไปตามแต่ใจจะนึกได้ละกันนะ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ศาสตราวุธในโลกวิญญาณ

กรรมมันหนีไม่ได้หรอก

บทนำ นิทานขี้โม้