ระลึกชาติ

ระลึกชาติ

                เป็นเรื่องทั่วไปสำหรับคนที่ฝึกได้ทิพยจักขุญาณใหม่ๆก็จะต้องมีการระลึกชาติกันหน่อย การระลึกชาตินี่ทำกันได้สองแนวทาง คือเมื่อจิตมีความเป็นทิพย์ คำว่ามีความเป็นทิพย์สำหรับผู้ฝึกใหม่นี่คือ เมื่อจิตถึงอุปจารสมาธิก็มีความเป็นทิพย์ แต่ว่าพวกนี้อุปทานแทรกได้ง่าย เวลาจะไปไหนมาไหนต้องขอบารมีพระบ้าง พรหมเทวดา ครูบาอาจารย์ไปด้วยเสมอๆ ส่วนพวกที่เก่าแล้วจะเข้าฌาน๔ แบบใช้งานได้ คือต้องทรงสติเอาไว้ให้มีกำลังพอสมควร ความเป็นทิพย์จะเกิดขึ้นได้ ถ้าไม่มีสติเข้าควบเอาไว้ จะนิ่งสนิท ไปไหนไม่ได้ ทรงอารมณ์นิ่งๆเฉยๆแบบนั้นทั้งวันไม่มีอะไร

                การระลึกชาตินี่ก็ทำกันแนวแรกคือพอจิตเป็นทิพย์ก็ไล่ย้อนนึกถึงเรื่องที่ทำไปเมื่อวาน แล้วไล่ไปเรื่อยๆ จนไปถึงปีที่แล้ว จนเมื่อเป็นเด็ก แล้วระลึกไล่ไปจนตอนอยู่ในท้องแม่ จนปฏิสนธิ เวลาที่จิตก่อนจะสิงสู่เข้ามาในคัพภะ แล้วไล่ลำดับไปก็เจอชาติที่แล้ว แล้วก็ไล่ต่อไปก่อนตายเป็นยังไง อาการก่อนตายด้วยโรคอะไร พวกนี้จะช้า ไม่ค่อยทันการณ์ แต่ว่าเห็นรายละเอียดรอบคอบดีมาก แบบนี้ผมเคยลองทำอยู่เหมือนกัน ไม่นึกว่าพอจิตเป็นทิพย์แล้ว ไอ้ที่ว่าเราลืมๆไปแล้วตอนเด็กๆนี่กลับผุดขึ้นมาได้อย่างชัดเจน แถมยังรู้สึกถึงอารมณ์เวลานั้นว่า ดีใจ เสียใจ น้อยใจ หวาดกลัว กังวล อึดอัดใจ พวกนี้รู้สึกได้หมด

                การระลึกชาติอีกแบบนึงคือ อธิษฐานเอาเลยว่าเมื่อชาติที่แล้วข้าฯเคยเกิดเป็นอะไร อย่างไรมาบ้าง ขอให้ภาพนั้นปรากฏ อันนี้ผมก็ลองเหมือนกัน เร็วดี มีรายละเอียดเฉพาะจุดที่ชัดเจน แต่ว่าไม่รู้ทั้งหมดของช่วงชีวิต แล้วก็ต้องอาศัยบารมี หรือว่ากำลังของ พระท่านช่วยบ้าง หลวงปู่หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ท่านช่วยสงเคราะห์ด้วย เพราะกำลังตัวเราเองยังไปเห็นได้ยาก ดีไม่ดีอุปทานแทรกคิดว่าเป็นพระเจ้าจักรพรรดินี่จะซวยใหญ่เลยน่ะ

                พอย้อนไปในอดีตชาติก่อนจะมาเกิดในชาตินี้ ก็เห็นตัวเองไปปรากฏอยู่บนชั้นพรหม แต่ว่าพรหมชั้นเตี้ยๆ แค่ชั้น 2 ไปถึงก็เจอพระพรหมหลายตนมายืนรอรับอยู่ก่อนแล้ว ท่านก็มาทักทายว่าจำกันได้ไหม จริงๆก็จะรำคาญลีลาที่มาถามแบบนี้ เพราะก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่าจำไม่ได้ เกิดเป็นคน วันนี้ของเดือนที่แล้วกินข้าวกับอะไรยังจำไม่ได้เลย แล้วนี่มันผ่านมากี่ปีแล้ว จะไปจำได้ไหมล่ะ ไม่น่าถามเลย แต่ก็เห็นถามเป็นประจำ คงเหมือนคำทักทายมากกว่า ซึ่งก็ต้องตอบเป็นมารยาทว่าจำไม่ได้ครับ เรื่องราวเป็นมายังไง ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยนะครับ ท่านเหล่านี้เวลาจะเล่าก็ไม่ค่อยจะเล่า จะทำเป็นภาพให้เห็นเป็นเรื่องราวแทน บอกว่าพวกเราเป็นเพื่อนกันก่อนที่ท่านจะลงมาเกิด ภาพก็ปรากฏลำดับเหตุการณ์ว่า สมัยนั้นตัดสินใจว่าจะลงมาเกิดก่อนเวลา จะลงมาเพื่อปกป้องและจรรโลงพระพุทธศาสนา กำลังใจเวลานั้นเกินร้อย มองลงมาก็เห็นอาปา กำลังไสไม้อยู่ เห็นพี่ชายคนโตยังใส่ชุดนักเรียน กางเกงสีกากี กางเกงก็ตัวใหญ่โคร่ง ต้องใช้เข็มขัดช่วยพยุงไว้ไม่ให้กางเกงหลุด เห็นแค่หน้าบ้านที่เป็นตึกแถว ส่วนแม่อยู่หลังบ้าน คือรู้ว่าอยู่แต่ไม่เห็นตัว ก็รู้ว่าถ้ามาเกิดที่บ้านนี้ แม้จะลำบากยากจน แต่ก็จะได้เข้าถึงธรรม ถ้าไปเกิดบ้านอื่น รวยกว่านี้แต่ว่าเข้าไม่ถึงธรรมเพราะจะหลงระเริงไปกับโลกีย์เสียก่อน ตอนนั้นก็ตัดสินใจลงมาเกิด ไปลาพระอินทร์ไปบอกท่านว่าผมจะลงมาเกิดแล้วนะครับ จะขอลงมาปกป้องจรรโลงพระพุทธศาสนา ปราบไอ้พวกนอกรีตที่จ้องจะทำร้ายพระพุทธศาสนา จะมาจรรโลงพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะยากลำบากเพียงใด เกล้ากระผมจะสู้ไม่ยอมถอยอย่างเด็ดขาด เล่ามาถึงตอนนี้ก็หันไปมองหน้าเพื่อนๆที่ยังเป็นพรหมอยู่ในเวลานี้ ว่า เอ..เวลานั้นก่อนเราจะลงไปเกิด ได้เคยขอพวกท่านไว้ว่า ถ้าเราไปเกิดเป็นคนแล้วอย่าทิ้งกัน มีอะไรก็ขอให้ช่วยเหลือกัน แล้วเวลานี้ ข้าฯก็ลำบากขนาดนี้ ทำไมพวกท่านนี่ไม่ช่วยเหลือกันเลย เพื่อนๆก็ยิ้ม แต่พรหมนี่ไม่มีใครหัวเราะ 555 ไม่มีใครยิ้มกว้างๆให้เห็นฟัน อย่างมากก็ยิ้มแบบอมยิ้มนิดๆเท่านั้น นึกในใจว่าสงสัยจะไว้ท่าไว้เชิง ท่านเหล่านี้ก็บอกว่าไม่ใช่ไว้ท่าไว้เชิง เพราะพรหมไม่มีอารมณ์สนุกสนานรื่นเริงอย่างมนุษย์ทั้งหลายแล้ว อาการยิ้มเพียงแต่แสดงความยินดีเพียงเท่านั้น นี่เรานึกในใจ พวกท่านเหล่านี้จะได้ยินกันหมด เวลาไม่มีร่างกายแล้วนี่ คิดอะไรนึกอะไร มันดังไปให้ทุกท่านทั้งหลายได้ยินถึงกันหมด จะโกหก ปกปิดกันไม่ได้เลยนะ

                ท่านเหล่านั้นก็บอกว่า คุณอธิษฐานเองว่าจะลงไปจรรโลงพระพุทธศาสนา จะสู้ไม่มีถอย ลำบากแค่ไหนก็จะลงไปสร้างบารมี ก็เมื่อจะลงไปสร้างบารมีมันก็ต้องพบเจอกับความยากลำบากแล้วก็ต้องฝ่าฟันด้วยตัวเองเท่านั้น พวกผมจะไปช่วยได้อย่างไร ถ้าไปช่วยท่านก็ไม่ได้สร้างบารมีเท่านั้นเอง แต่จะว่าไม่ช่วยเลยก็ไม่ได้ เพราะเวลาท่านคิดจะทำชั่วพวกเราก็จะไปช่วยขวางเอาไว้ ไม่ให้ท่านมีโอกาสทำชั่วได้


                นี่ก็ทำให้ได้รู้มาอีกเรื่องนึงว่า คำอธิษฐานเราเอง ที่ผูกมัดตัวเราเองไว้ ตั้งแต่ก่อนจะลงมาเกิด มันส่งผลได้แล้วใครก็ช่วยไม่ได้ เพราะเป็นประสงค์ของตัวเราเอง ตอนที่อธิษฐานเวลานั้น กำลังใจมันเกินร้อยเลยนะ แต่ว่าพอมาเกิด มีร่างกายเป็นเนื้อหนัง ต้องเจอกับทุกข์ทั้งหลาย ความลำบากยากจน การต่อสู้ที่ยิบตา ความอดทนที่ทนแล้วทนอีก ทนอีกทนแล้ว กำลังใจที่เคยมีเกินร้อยก่อนจะลงมาเกิด เวลานี้เหลือไม่ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ แต่จริงๆแล้วจะเหลือไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ ช่างต่างกันดังฟ้ากับเหว ก็นึกเหมือนกันนะว่า ข้าฯก็ไม่น่าห้าวขนาดนั้นเล๊ยยยยย.....แต่ว่าไหนๆก็ไหนๆแล้ว มาจนป่านนี้แล้ว มันก็ต้องสู้กันต่อไปครับ จะมานั่งบ่นไปก็ไม่มีประโยชน์ สู้เท่านั้นที่จะชนะ...ไม่ชนะก็แพ้ มีแค่นั้น...

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ศาสตราวุธในโลกวิญญาณ

กรรมมันหนีไม่ได้หรอก

บทนำ นิทานขี้โม้