ผีแม่ขาว

ผีแม่ขาว

                เมื่อมีเวลาก็ต้องไปหาที่ปลีกวิเวก สำนักปฏิบัติทางใต้แห่งหนึ่ง เน้นการเจริญสติ ไม่ค่อยมีคนไปสักเท่าไร มีหลวงพ่อช่วงนั้นก็ไม่อยู่ เจอหลวงพี่ ท่านก็ให้ไปพักห้องหมายเลข 1 แล้วก็มองๆหน้าเรา ไอ้เรานี่ก็ไม่มีปัญหาอะไร พักที่ไหนยังไงก็ได้ เรื่องน้อย เพราะมาขออาศัยสถานที่ในการฝึกภาวนา ดูแลทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ก็พักผ่อนสักหน่อย จึงเริ่มทำสมาธิ สมัยก่อนที่นี่เป็นแต่กุฏิมุงแฝก  มาสมัยนี้ที่พักเริ่มทำเป็นห้องก่ออิฐฉาบปูนปูกระเบื้อง แม้จะทำให้บรรยากาศเปลี่ยนไปบ้าง แต่ก็เพื่อความคงทนถาวร ส่วนต้นไม้ก็ยังมีมาก ร่มรื่นดี

                ประสาคนเจริญภาวนา ฌานนี่ต้องทรงตัวอยู่ตลอดเวลา จะมาตั้งท่าก่อนค่อยลำดับสมาธิเป็นขั้นเป็นตอน แบบนั้นไม่ทันกินครับ เกิดเรื่องขึ้นมาตายก่อน ไม่ทันได้เข้าสมาธิ หลวงพ่อสั่งไว้เลยว่าต้องทรงฌาน๔ให้ได้ตลอดเวลา ซึ่งอันนี้ยอมรับว่ายาก ใช้เวลากว่า 26 ปีถึงจะพอทำตามที่ท่านบอกได้ นับว่าล่าช้า เลวร้ายเกินที่ท่านจะด่าไปเยอะแล้ว ส่วนสติก็ต้องทรงตัวตามรู้ตามดูจิตตลอดเวลา สัมปชัญญะต้องรู้ตัวทั่วพร้อม จะยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม เหยียดออก คู้เข้า เคลื่อนไหว นี่ต้องรู้สึกทั่วทั้งตัวอยู่ตลอดเวลา นี่ก็หลวงพ่ออีกรูปนึงสั่งมา ก็ต้องพยายามทำเอาไว้ให้ได้ตามคำสั่ง คนอื่นอาจจะเห็นว่าเป็นของไม่ยาก แต่สำหรับผมนี่ยากจริงๆ กินแรงมาก กว่าจะชินต้องใช้เวลาเกิน 20 ปี นับว่ากระจอกจนน่าสมเพชตัวเอง

                นักปฏิบัติเวลานอนก็ต้องภาวนาไปด้วยครับ จะไปนอนกรนอย่างหมูอย่างหมา มันก็ทำไม่ได้ครับ เอนกายลงไปสักพัก ก็มีแม่ขาว เดินผ่านหน้าต่างข้างหลังไป เห็นแต่ท่อนตรงกลาง ก็รู้แล้วว่า มาเดินตรวจตรา เป็นผู้ดูแลสถานที่ อายุประมาณ 35 ปี ตายมานานพอสมควรแล้ว ผิวขาว ผมดำ หน้าตาดี รูปร่างสมส่วน รู้เท่านั้น ไม่ได้สนใจว่าตายยังไง ลูกเต้าเหล่าใคร มีกรรมอะไรหรือเปล่า เพราะว่าไม่ได้สนใจ การรู้การเห็นแบบนี้ก็รู้เห็นโดยบังเอิญ ไม่ได้อยากจะไปรู้ ที่รู้นี่ก็เหมือนเขาจะต้องการให้รู้ เมื่อเขาต้องการให้รู้เราก็รู้เท่าที่เขาต้องการ รู้แล้วก็เท่านั้น ไม่มีอะไรเพราะเรามาขออาศัยปฏิบัติธรรม ไม่กี่วันก็กลับแล้ว อะไรไม่ถูกไม่ควรก็อย่าไปทำให้เป็นปัญหาต่อสถานที่เขา โดยเฉพาะสายเจริญสตินั้น เรื่องผีสาง ทิพยจักขุญาณ นี่ห้ามไปพูดไปคุยเข้าเลย นอกจากจะถูกปฏิเสธแล้วจะโดนหาว่าบ้าเอาเข้าด้วย อุปทานบ้าง ต่างๆนานา ซึ่งก็ต้องรู้เอาไว้ด้วยว่า เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม ดูขนบธรรมเนียม ดูชาวบ้านชาวเมืองเขาด้วย ดูเราด้วยว่าเรามาขออาศัย ก็อย่าไปฝืนทำในสิ่งที่เจ้าของบ้านท่านไม่ชอบ

                ตอนสายๆก็เดินไปด้านหลังสำนักสงฆ์ ไปเดินจงกรมที่หน้าถ้ำ ลานหน้าถ้ำดูสะอาดดี มีผีเด็กผู้หญิงอายุสัก9-10 ขวบ แอบมองอยู่หลังก้อนหิน ท่าทางหวาดๆกลัวๆ ก็เหมือนเดิมเพราะว่าการเห็นแบบนี้เป็นเรื่องที่สมัยนี้ว่าเหลือเชื่อ โม้ บ้า ตาฝาด แต่ว่านี่มันเป็นนิทานขี้โม้ ก็เลยโม้ได้ ใครจะมาว่าเราไม่ได้ เพราะเราบอกแล้วว่านี่เป็นนิทาน แล้วก็นิทานขี้โม้เสียด้วย ในเมื่อมันโม้ มันก็ไม่ใช่เรื่องจริง เมื่อไม่ใช่เรื่องจริงท่านก็ด่าเราไม่ได้เต็มปาก แต่ถึงด่าเราเต็มปากเราก็ไม่สนใจ เพราะว่าเราเป็นคนบ้า ท่านด่าเรา เราก็ไม่ถือสาอะไรเพราะตามธรรมดาคนบ้าไม่ถือสาคนอื่นอยู่แล้ว ก็เลยสบายใจดี ทีนี้เดินจงกรม จริงๆแล้วคำว่าจงกรมนี้ท่านแปลว่าเดิน ที่ถูกต้องเรียกว่า มาเจริญภาวนาด้วยการจงกรม ไม่ต้องมีคำว่าเดิน มันซ้ำซ้อนกัน ยังมีคนเข้าใจผิด แต่ว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจผิดเรียกซ้ำกันว่าเดินจงกรม เราก็ต้องเรียกไปตามผิดด้วย ไม่งั้นคุยกันแล้วจะทะเลาะกันเปล่าๆ จะจงกรม หรือจะเดินจงกรม เราก็ได้ทั้งนั้น ผิดถูกมันของคู่โลกนี้ เป็นของสมมติกันเอาทั้งนั้น จะว่าผิดมันก็ผิดหมดทั้งโลกแหละ เพราะว่ามันเป็นของสมมติ จะว่าถูกมันก็ถูกของมันทั้งโลกแหละ เพราะว่ามันเป็นโลกก็ถูกของมันแบบโลกๆ ไม่ผิดหรอก ผิดที่เราไปยึดเอาเองทั้งนั้น

                เดินจงกรมบางคนก็ตาลีตาเหลือกวิ่งไปที่ทางเดินจงกรมแล้วยืนสงบเสงี่ยมค่อยก้าวค่อยๆเดินหวังจะให้เกิดสมาธิ เกิดสติ เป็นความเข้าใจผิดทั้งนั้นนะ จงกรมน่ะทำตลอดเวลาตั้งแต่เริ่มเดินแล้ว ตอนเดินมาที่หน้าถ้ำนี่ก็เดินจงกรมมาด้วย จะวางขวดน้ำ จะยกผ้าเช็ดหน้า ก็เจริญสติอยู่ จะเดินไปที่หัวทางเดินจงกรมก็เดินไปอย่างมีสติ มีสัมปชัญญะ ภาวนาไปตลอดเวลาอยู่แล้ว สมาธิก็ดี สติก็ดี ไม่ใช่จะมาทำกันเอาตรงทางเดินจงกรม ทำแบบนี้ไปอีกแสนชาติก็เอาดีได้ยาก นักปฏิบัติต้องทำตลอดเวลา ไม่ใช่ตาลีตาเหลือกรีบมุ่งไปที่ทางเดินจงกรม ไอ้ตอนตาลีตาเหลือกมุ่งไปอย่างขาดสตินี่น่ะ เสียหายมากๆ ส่วนเรามันก็ขี้บ่นไปหน่อย เป็นอันว่าเล่าเรื่องผีต่อ ผีที่นี่เขาดีทีเดียว ลานเดินจงกรมนี่เกลี้ยง สะอาด ใบไม้แทบไม่มีเลย ไปไหลกองรวมๆกัน ที่ริมทาง ขอบๆปากถ้ำ สภาพเหมือนมีใครมากวาดเอาไว้ให้ เรามาเดินทุกวันก็เห็นสะอาดเรียบร้อยทุกวัน

                ตอนเย็นเดินกลับมาก็มายืนที่ริมบึงน้ำ มองไปฝั่งตรงข้ามเป็นผนังด้านหนึ่งของภูเขา ก็เห็นแม่ขาวแกยืนอยู่ฝั่งตรงกันข้าม ยืนให้เห็นเต็มๆทั้งตัว เราเห็นแล้วก็เห็นแหละ ไม่ได้ว่าอะไร บอกว่ามาขออาศัยเป็นที่ปฏิบัติภาวนาทางจิต ก็ขอให้อนุโมทนาเอาเองละกันนะ ผีแม่ขาวแกก็ว่าแกมาคอยดูแลสถานที่แห่งนี้ ให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ถ้าเห็นใครทำอะไรไม่ดีก็จะไล่ไปเสียแบบนั้น เราก็ไม่ได้ว่าอะไร อยู่ของเราไปไม่มีปัญหากับผีกับคนเพราะไม่ยุ่งสุงสิงกับใคร มาฝึกนะ ไม่ได้จะมาสังสรรค์

                มาเย็นวันนึงหลวงพี่ท่านคงอดรนทนไม่ไหว เดินมาถามว่าโยม พักที่ห้องนี้แล้วเจออะไรบ้างไหม? ก็เลยว่า อ๋อ..ท่านจะหมายถึงแม่ขาว ที่มาคอยเดินตรวจตราตอนกลางคืนน่ะเหรอ ....  หลวงพี่ก็ทำหน้าตาตื่น ถามว่าโยมเจอด้วยเหรอ? แล้วโยมไม่กลัวเหรอ? แล้วเขามาทำอะไรโยมบ้างหรือเปล่า? ไอ้เราก็แปลกใจว่าทำไมต้องหน้าตาตื่นเต้นอะไรขนาดนั้นด้วย ก็ตอบท่านไปว่า ไม่มีอะไรนี่ครับ ก็พักอยู่ปกติดี แม่ขาวนั่นอายุประมาณ 35 ปีใช่ไหมครับ รูปร่างจะสมส่วนหน่อย ผิวขาว .... หลวงพี่ก็บอกว่าไม่ทราบเหมือนกัน แต่ก่อนที่โยมจะมา มีพระมาพักที่ห้องที่โยมพักนี่แหละ บอกว่าโดนผีผู้หญิงนี่หลอกเอา กลางคืนนี่อยู่ห้องไม่ได้ มาพักได้ไม่กี่วัน ต้องเก็บข้าวของหนีออกไปตอนกลางดึก ร้องเอะอะโวยวายเหมือนคนเป็นบ้า ... ไอ้เราก็อ๋อ....หลวงพี่เลยเลือกห้องนี้มาให้ผมพัก เพื่อจะได้ลองดูว่า จะโดนผีหลอกหรือเปล่าอ่ะดิ???? ท่านก็ยอมรับตรงๆอย่างลูกผู้ชายว่าใช่แล้วโยม .... ท่านก็ว่าท่านไม่เชื่อเรื่องผี ถ้าไงให้เราบอกผีให้มาหลอกท่านบ้างก็ได้นะ เราฟังแล้วก็ไม่ว่าอะไร เพราะผีก็บอกว่าหลวงพี่รูปนี้ไม่ได้ฝึกอะไร วันๆก็นั่งๆนอนๆ กวาดใบไม้ มีท่านก็เอาไว้เฝ้าสำนักสงฆ์ เวลาหลวงพ่อไม่อยู่


                ส่วนหลวงพ่อท่านก็เป็นมะเร็งที่ลำคอ กว่าจะรักษาหายก็เจ็บปวดทรมานอยู่หลายปี ผีก็มาเล่าว่าผลจากการที่หลวงพ่อรูปนี้เทศน์สอนชาวบ้านว่า นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี ผีไม่มี ชาติหน้าไม่มี ฯลฯ แบบนี้เอง ผีก็เลยหมั่นไส้เล่นงานซะ... ส่วนหลวงพี่รูปนี้ ผีก็มารายงานว่า อีก 3 ปีจะเป็นมะเร็งลำไส้ เพราะว่ากินอาหารที่ชาวบ้านเขาอธิษฐานใส่บาตรมา เขาจบเขาไหว้มา แต่ว่าตัวเองไม่ปฏิบัติธรรมให้สมกับสมณะสารูป ผลคือต้องเป็นมะเร็งที่ลำไส้ แต่ว่าไม่ตาย จะรักษาหายได้ ในเมื่อผีว่ามาแบบนี้ ก็บอกให้หลวงพี่ฟัง เพื่อจะได้พิสูจน์ว่าผีมีจริงไหม? เพราะจะให้ผมทำให้หลวงพี่เห็นผีแม่ขาวนี่ผมก็ทำไม่ได้ ก็ได้แต่เล่าเรื่องที่ผีบอกมาอีกที ก็ต้องรอดูไปอีก 3 ปี หลวงพี่ก็ตกใจหาว่าผมเล่นแรง ผมว่าผมไม่ได้เล่นแรง ผมก็เล่าตามที่ผีเล่ามา เรื่องอนาคต ตอนนี้มันก็พิสูจน์อะไรไม่ได้ ก็ต้องรอดูกันไปครับ ส่วนผมน่ะ ไม่ได้คิดร้าย คิดไม่ดีอะไรกับหลวงพี่หรอกครับ ส่วนไอ้เรื่องการรู้ได้เห็นได้อะไรแบบนี้ ผมเองก็ไม่ได้จะไปสนใจอะไรนัก เห็นไม่เห็นค่ามันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกัน ไม่ได้ตื่นเต้นยินดี ไม่ได้อยากรู้อยากเห็นอะไร เพียงแต่เห็นแล้วก็เห็นไป อะไรที่รู้ว่าใครเขาไม่ชอบเราก็ไม่ไปทำให้เขาเหล่านั้นระคายเคืองใจ อะไรที่เขาเหล่านั้นชอบ ไม่เหลือบ่าฝ่าแรงเราทำได้ก็ทำไป มันจะจริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะตาฝาด อุปทานผีบ้าอะไรก็ได้นะ ปกติไม่มีใครซักใครถามก็ไม่เล่า เพราะเล่าไปก็ไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไรสักนิด แถมพิสูจน์ไม่ได้อีก เพราะพวกท่านไม่ยอมฝึกอะไรกันเลยสักกะอย่างเดียว ก็เป็นอันว่า หลังจากใช้เวลาฝึกภาวนาที่นั่นอยู่จนครบกำหนดก็ลากลับบ้าน ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็แค่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป....

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ศาสตราวุธในโลกวิญญาณ

กรรมมันหนีไม่ได้หรอก

บทนำ นิทานขี้โม้