ผีแขก

ผีแขก

                ตึกแถวสองชั้น พื้นชั้นบนเป็นไม้กระดาน มีช่องเปิด ติดมุ้งลวด กับเหล็กกลมซี่ๆ ทำเป็นช่องเปิดเอาไว้ ที่พื้นขนาด ฟุตxฟุต สำหรับไว้เป็นตะโกนเรียกกัน ระหว่างคนที่อยู่ชั้นบนกับชั้นล่าง แทนอินเตอร์คอม ที่สมัยนั้นยังไม่มีหรอก สมัยนี้ก็ไม่มีคนรู้จักแล้วเหมือนกัน

                ประตูก็เป็นประตูยืด มีบังตา แยกต่างหาก พัดลมเพดาน เสียงดังมาก ลมก็แรงมาก ทำท่าเหมือนจะหล่นลงมาได้ทุกขณะ อาปาบอกว่ามันนำเข้าจากญี่ปุ่น หนักมาก และก็ทนทานมากเช่นกัน เนื่องจากต้องปรับไฟจาก 110 โวลต์มาเป็น 220 โวลต์ ทำให้มันทำงานอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก

                เยื้องๆกันก็เป็นบ้านอาจารย์เจ๊ก พวกเราเรียกว่า อาจารย์เจ่ก เป็นลูกศิษย์ หลวงปู่ทอง วัดราชโยธา หรือ วัดลาดบัวขาว หลวงปู่ทอง อายุยืนถึง 117 ปี เป็นพระศักดิ์สิทธิ์รูปหนึ่งทีเดียว เป็นอาจารย์หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน ที่สร้างพระรูปหล่อราคาแพงมากๆ ศิษย์ฆราวาส ที่มีชื่อเสียงก็มีอยู่สองคน คือ อาจารย์แก้ว และอาจารย์เจ๊ก ลือกันว่า อาจารย์แก้ว ศิษย์พี่ เรียนวิชาไสยขาว ส่วนอาจารย์เจ๊ก เรียนวิชาไสยดำ เรื่องราวของอาจารย์เจ๊ก ก็จะได้เล่าในโอกาสถัดๆไป

                เด็กๆไม่มีอะไร นอกจาก กิน เล่น แล้วก็นอน การนอนกลางวันก็เป็นเรื่องปกติ ไม่มีเกมส์ออนไลน์ให้เล่น ไม่มียูทูปให้ดู ก็นอนดีกว่า นอนตื่นมางัวเงีย ก็มานอนต่อหน้าบันไดทางลงชั้นล่าง  นอนขวางทางบันได แล้วสักพักก็กลิ้งตกลงมาถึงพื้นชั้นล่าง แหกปากร้องไปสามบ้านเจ็ดบ้าน แม่วิ่งมาดู ก็จับมาลูบหัว เป่าหู ดูตามตัวว่าเลือดออกตรงไหนไหม ก็ปลอบกันไปจนหยุดร้องไห้ เข้าใจว่า งัวเงีย กลิ่งตกลงมาเอง

                วันหลังมาเอาพี่ชายมานั่งบนพื้นชั้น 2 ตัวเองนอนขวางบันได ต่อหน้าต่อตาพี่ชาย แล้วก็เหมือนมีใครมาเตะ ตกบันได ร่วงลงมาที่พื้นชั้นล่าง และแน่นอน แหกปากซะ...

                การนอนจึงมีความเสี่ยงสูง แต่นั้นมาก็ไม่นอนแล้ว นั่งที่พื้นชั้นสอง ขาก็อยู่บันไดขั้นถัดมา นั่งๆไปสักพักนึง ก็กลิ้งร่วงลงมาอีก เกิดขึ้นอีกหลายครั้ง จนชักจะไม่แน่ใจแล้วว่า เรานั่งสัปหงกร่วงลงมาเองหรือว่าโดนอะไรถีบร่วงลงมา

                เมื่อการนั่งยังมีความเสี่ยง จึงลองยืนดูเฉยๆก็แล้วกัน สักพักหนึ่ง ก็มีอันร่วงลงมากองที่พื้นชั้นล่าง ตกบันไดมันแทบจะวันเว้นวัน จนวิชาแก่กล้า ไม่แหกปากร้องแล้ว แต่ก็ทำให้เกลียดการที่จะต้องขึ้นมาบนบ้านชั้นสองนี้เป็นอย่างมาก กลางวันแสกๆให้เดินขึ้นมาหยิบของคนเดียวก็ไม่กล้า ถ้าโดนบังคับเข้าจริงๆ ก็จะรีบวิ่งมาหยิบแล้ววิ่งกลับลงไปข้างล่างทันที

                ยิ่งวันไหนไม่มีใครอยู่บ้านด้วยแล้ว ก็จะมานั่งที่หน้าบ้าน เกาะประตูเหล็กยืดเอาไว้ แล้วมองออกไปข้างนอก นั่งๆอยู่ก็กลัวเหมือนกัน กลางวันแสกๆมันเหมือนมีใครยืนอยู่ข้างหลัง ต่อมาเลยขอเปิดประตูยืดเอาไว้ หันหลังออกนอกบ้าน หันหน้าเข้าในบ้าน เผื่อว่าใครมายืนข้างหลังจะบีบคอเรา จะได้ทำไม่ได้ แล้วถ้ามีอะไรแปลกๆ เราก็วิ่งออกจากบ้านได้ทัน เพราะประตูเปิดเอาไว้ หน้าบ้านก็เป็นถนนซอย กว้างสัก 6 เมตร รถแทบไม่มีวิ่ง ไม่น่ากลัวอะไร ซ้ายมือเป็นร้านเย็บรองเท้า ขวามือเป็นร้านโชวห่วย ตรงข้ามเป็นบ้านอาจารย์เจ๊ก เยื้องๆไปก็ร้านยายเล็กขายก๋วยเตี๋ยว ไม่มีอะไรน่ากลัว นอกจากบ้านเราเอง

                มอเตอรไซด์สมัยก่อน ยี่ห้อ BMW บังโคลนหน้ายังเป็นเหล็กชุบโครเมียม พอสะท้อนกับแสงแดด ก็จะสว่างจ้า เหมือนกับกระจกสะท้อนแสง เด็กๆก็ไม่รู้หรอกว่า มันอันตรายต่อสายตา ก็มองไปเรื่อยๆ รู้สึกว่าแสงมันเย็นๆ สบายใจ ชอบมอง มองแล้วก็ไม่เห็นว่ามันจะแสบตา แต่อย่างใด ในใจไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้รู้เรื่องอะไร เพราะเด็ก 4-5 ขวบสมัยนั้น ยังโง่มาก ผลของความโง่แบบเด็กๆนี้เอง ทำให้ตกกลางคืนแล้วฝัน ฝันถึงผีเน่า ลุกขึ้นมาวิ่งไล่กวดบ้าง ฝันไปในอวกาศบ้าง ต่างๆนานา เป็นที่น่ากลัวมาก แต่ว่าเล่าไปมันก็แค่ฝัน ผู้ใหญ่เขาก็ว่าเล่นมากไป กลางคืนเลยเก็บไปฝัน

                หลังจากที่หลายๆคนในบ้าน เริ่มได้ยินเสียงคนเดินกระแทกพื้นบนบ้าน เสียงทำของหล่น แต่พอกลางคืนอยู่ข้างบน กลับได้ยินเสียงคนเดินอยู่ข้างล่าง และแน่นอนว่า เรามีช่องเปิดที่พื้นชั้นบน สามารถมองลงมาข้างล่างได้ .....
         
       อาปามาจากเมืองจีน ผ่านสงครามโลกครั้งที่2 สู้กับทหารญี่ปุ่น เกือบโดนยิงกระบาลตาย รอดมาได้เพราะคลานถอยลงมาแค่ 2 ศอกเท่านั้น อาปาไม่เคยกลัวอะไร(นอกจากเข็มฉีดยา) โดยเฉพาะเรื่องผี อาปาท้าเลยว่าแน่จริงออกมาชกกัน คนเราคิดดี พูดดี ทำดี จะไปกลัวทำไมกับผี โดยเฉพาะตอนเมาๆด้วยแล้ว อาปาจะห้าวเป้งมาก

                ช่องเปิดที่พื้น ปกติจะมีแผ่นไม้ปิดเอาไว้ เพื่อป้องกันเวลาเดินแล้วไปเหยียบร่วงลงไป มีมุ้งลวดกันยุง มีเหล็กดัด เผื่อว่าเผลอเปิดลืมไว้แล้วใครเหยียบพลาดไปก็ยังมีเล็กกลมๆ เป็นซี่ๆ ขวางเอาไว้ ไม่ให้ร่วงลงไปชั้นล่าง โดยเฉพาะพวกเด็กๆ คืนนั้นกลางดึก อาปาเปิดมันออก แล้วมองลงไปข้างล่าง แสงสว่างจากไฟถนน ลอดบังตาของประตูยืด เข้ามาในบ้าน ทำให้พอมองเห็นอะไรบางอย่าง............

                แม่เป็นฝ่ายสืบเสาะเรื่องชาวบ้านนี่ถนัดมาก  อาปาบอกให้แม่ไปสืบมาว่าก่อนหน้านี้บ้านนี้มีความเป็นมายังไง  จนได้ความมาว่า ก่อนหน้าที่อาปาจะมาเซ้งตึกแถวห้องนี้ เคยมีแขกมาเช่าอยู่ได้ปีกว่าๆ แขกคนนี้เลี้ยงผีเอาไว้ด้วย พอย้ายออกไปก็ไม่ได้เอาผีที่ตัวเลี้ยงไว้ไปด้วย เครื่องรางสำหรับผีแขกที่เลี้ยงไว้ก็ทิ้งเอาไว้ที่นี่ ผีที่ไม่ได้รับเครื่องเซ่นเลี้ยงดูเหมือนอย่างเคย ก็เริ่มออกมาแสดงตัวบ่อยๆครั้ง อาปาก็จะบอกพวกเราว่า ผีไม่มีในโลก... ผีไม่มีตัวตน ทำอะไรคนไม่ได้หรอก... คนสมัยนี้น่ากลัวกว่าผีซะอีกนะ...

                ต่อจากนั้นไม่นานอาปาก็ชวนแม่ไปหาเซ้งบ้านหลังใหม่ เป็นตึกแถวห้องหัวมุม ซึ่งคนจีนจะชอบมาก เพราะสามารถใช้พื้นที่ข้างบ้านได้ด้วย จากนั้นไม่นานพวกเราก็ย้ายมาที่บ้านหลังใหม่ ตึกแถวสองชั้น ชั้นสองเป็นพื้นไม้กระดานเหมือนเดิม แต่ไม่มีช่องสำหรับมองลงไปข้างล่างอีกแล้ว  


                หรือผีห่าซานตานกลั่นแกล้ง? บ้านหลังนี้ตั้งอยู่บนทางสามแพร่ง เจ้าของตึกแถวที่สร้างไว้ให้คนมาเซ้งอยู่ พร้อมกับตลาดที่อยู่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยตึกแถวนั้น ลูกชายพาแม่มานอนที่ตึกหลังนี้ที่พวกเราไปเซ้ง ทิ้งแม่ไว้ ปล่อยให้อดๆอยากๆ และถูกมดกัดตายในที่สุด 48/25 บางขุนนนท์.....

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ศาสตราวุธในโลกวิญญาณ

กรรมมันหนีไม่ได้หรอก

บทนำ นิทานขี้โม้