ตายแล้วไปไหน ตอนที่1

ตายแล้วไปไหน(1)

                ทราบข่าวพี่ชายของรุ่นพี่เสียชีวิตอยู่ต่างประเทศ ครอบครัวก็อยู่ที่นั่น ได้รับการร้องขอให้ช่วยนำพาวิญญาณผู้ตาย ไปกราบสมเด็จโต หรือ หลวงปู่ดู่ เนื่องจากเป็นวันที่ร่างกายเจ็บป่วยมาก แต่ก็ไม่ได้บอกใคร นอนเจ็บ ลุกเดินก็ลำบากมาก จึงจะขอเลื่อนไปช่วงหัวค่ำ แต่ก็ขัดใจรุ่นพี่ท่านไม่ได้ ก็ได้แต่รวบรวมกำลังใจ เรื่องความเจ็บปวดของร่างกายเป็นของธรรมดา ถ้าเรายังมีร่างกายจะหนีมันยังไงก็หนีไม่พ้น ที่จะพอพ้นได้ก็อาศัยการพ้นไปจากความทุกข์ใจ ทุกข์กายก็ทุกข์ไป ทุกข์ใจนั้นอย่าไปมี จะไม่ทุกข์ใจก็ด้วย วิปัสสนาญาณควบสมถะ เป็นสังขารุเบกขาญาณ ไปถึงก็เห็นพี่ชายท่านนี้ยืนอยู่ข้างเตียงที่โรงพยาบาล ท่าทางยังมึนๆงงๆ อาการที่เห็นคือมองดูร่างกายตัวเองแล้ว ยังรู้สึกว่ายังไม่อยากจะตาย ห่วงลูกสาว ห่วงภาระที่ยังทำไว้ไม่เสร็จ อยากทำอีกหลายอย่างแต่ยังไม่ได้ทำ ไอ้เรื่องความอยากของคนนี้ ต่อให้อยู่ไป100ปี1000ปีมันก็ไม่มีวันหมดลงได้เลย อาศัยอตีตังสญาณ ควบกับเจโตปริยญาณ ก็เห็นว่าจิตใจคนนี้เมื่อยังมีชีวิตอยู่ เป็นคนจิตใจดี ไม่คิดคดเบียดเบียนใคร มีอะไรที่ช่วยเหลือได้ก็จะช่วยเหลือ เป็นคนมีน้ำใจดี แต่ว่าไม่ชอบการสวดมนต์ ไม่ชอบการภาวนา มีการทำบุญบ้างเป็นบางครั้ง ตามวาระโอกาสจะอำนวย
                ครั้นตายลงแล้ว จะได้เป็นบริวารเสด็จเตี่ยกรมหลวงชุมพร ท่านมารับ พร้อมกับเพื่อนๆของพี่ชายท่านนี้อีก 4-5 ท่าน จะได้เป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา ชั้นพื้นดิน ดูแลอาณาบริเวณแถวนั้น อยู่ที่ต่างประเทศ ส่วนเรื่องที่จะให้พาไปกราบสมเด็จโต และหลวงปู่ดู่นั้น ข้าพเจ้าไม่สามารถช่วยได้ ด้วยบุญบารมีของพี่ท่านนี้ทำมาไม่เพียงพอ ด้วยพระคุณเจ้าทั้งสองอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต ครั้นจะไปกราบนิมนต์มาเพื่อให้พี่ท่านนี้ได้เคารพกราบไหว้ ข้าพเจ้าก็เห็นว่าเป็นการไม่สมควร จึงระงับยับยั้งเอาไว้  เห็นพี่ชายท่านนี้ยังยืนนิ่งๆด้วยความกังวล ห่วงใย ก็ถามไถ่กันดู ท่านก็ว่าเป็นห่วงลูกสาว และไม่ต้องการให้งานศพนี้เป็นภาระแก่ลูกสาว ขอให้จัดทำแบบง่ายๆ จะได้ไม่ต้องเป็นภาระ ก็ได้บอกกับรุ่นพี่ที่เป็นน้องสาวผู้ตายไปตามนั้น
                เรื่องนี้ก็พอให้เห็นเป็นอุทธาหรณ์ได้ว่า ยามมีชีวิต หากไม่สวดมนต์ เจริญภาวนาเอาไว้สม่ำเสมอแล้วนั้น เมื่อชีวิตสิ้นลงไปแล้ว จะหาใครคนใดมาช่วยก็ไม่สามารถช่วยได้ ตนเองที่จะเป็นที่พึ่งแห่งตน คนอื่นไหนเลยจะช่วยได้ เป็นสิ่งที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสไว้ถูกต้องดีแล้ว ไม่มีข้อแก้ตัวได้เลย
                เรื่องการเปิดบทสวดมนต์ หรือการกระซิบบอก พุทโธๆๆๆ ข้างๆหูของคนที่กำลังจะตายนี่ก็อีกอย่างนึงที่เคยไปดูวาระจิตของคนใกล้จะตาย ไปเห็นบางอย่างแล้วก็เกิดความไม่ค่อยสบายใจกับความเชื่อของคนทั้งหลายที่พูดต่อๆกันมาว่าให้เปิดบทสวดมนต์เพื่อให้คนใกล้ตายฟังแล้วได้ไปสู่สุคติ หรือให้ท่องพุทโธๆๆๆ คนใกล้ตาย ตายไปจะได้ไม่ตกนรก ผมไปยืนพิจารณาแล้วว่า มันก็ไม่แน่เหมือนกัน อย่างพี่ชายท่านนี้ไม่เคยสวดมนต์ไหว้พระ คือสวดบ้าง นานๆครั้ง บทง่ายๆสั้นๆ ก็พอได้ ถ้าใกล้ตายเอาบทสวดมนต์อะไรก็ตามที่ญาติๆชอบสวด ชอบฟัง หรือไปเชื่อคนอื่นว่าเปิดบทสวดมนต์นี้แล้วจะดี ไปเปิดให้คนที่ใกล้จะตายฟัง อาศัยว่าไม่เคยสวดบทนี้มาก่อน ไม่ชินกับการสวดมนต์ พอได้ยินในระหว่างทุกขเวทนาแรงกล้ากำลังรุมเข้ามา แทนที่ใจจะสงบ กลับกลายเป็นว่ารู้สึกรำคาญกับบทสวดที่เปิดอยู่ ความหงุดหงิดตรงนี้ชั่วขณะเดียว จิตดับลงไป จะไปปรากฏตัวที่สำนักพระยายมทันที เช่นเดียวกันกับที่ไปกระซิบข้างหูว่า พุทโธๆๆๆๆ คนกำลังจะตาย มาทำเสียงรบกวนข้างๆหู มันน่าหงุดหงิดใจจริงๆ อารมณ์ชั่วขณะเดียว ไปปรากฎตัวไปอยู่สำนักพระยายมทันที ยมทูตไม่ต้องมาพาไป แล้วมันก็น่าแปลกนะที่ว่า ไอ้คนที่ไปกระซิบพุทโธๆๆข้างๆหูคนใกล้จะตาย มันก็ไม่เคยนั่งสวดมนต์ ไม่นั่งบริกรรมพุทโธ สมาธิมันก็ไม่ฝึก ตอนคนใกล้จะตายเสือก สะเออะจะไปบอกให้เขาท่อง ทั้งๆที่ตัวมันเองไม่เคยทำ ไอ้ห่วยแตกเอ๊ย...ตัวเองยังเอาตัวเองไม่รอด มีหน้าจะไปบอกให้คนใกล้ตายพุทโธๆๆๆ...น่าสมเพช... อันนี้คิดในใจนะ ไม่ได้พูดออกไปให้ใครฟัง เกรงจะโดนกระโดดถีบ
                เป็นว่ารายนี้ก็แนะนำไปว่า ไม่ต้องไปเปิดบทสวดจักรพรรดิอย่างที่คาดคิดเดาเอาว่าดีอย่างนั้นอย่างนี้ วิเศษกว่าบทสวดใดๆ เพราะชื่อว่า จักรพรรดิ บทสวดจักรพรรดิที่หลวงปู่ดู่รจนาขึ้นมาเป็นบทสวดบูชาพระนั้น เป็นคาถาที่ดี แต่คนเอาไปใช้ในเชิงโลภะ โมหะ แบบนี้ไม่ค่อยดี หลวงปู่ดู่ท่านชอบเรื่องท้าวชมพู ที่แพ้ให้กับพระพุทธเจ้าเมื่อตอนที่เนรมิตพระวรกายเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ซึ่งในพุทธประวัติไม่มีนะครับ เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาภายหลัง เรื่องแต่งไม่ใช่เรื่องจริง แต่งขึ้นเพื่อเจริญศรัทธาแก่พุทธศาสนิกชนที่ยังมีกำลังใจน้อยอยู่นั้นให้ฮึกเหิม เบิกบาน  พอมาเรียกเป็นบทสวดจักรพรรดิหรือมหาจักรพรรดิ เข้าให้ แหม...มันดูยิ่งใหญ่จริงๆ ใหญ่กว่าพระมหากษัตริย์ ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก(มนุษย์) .... ใครอยากเป็นก็ขอให้ได้เป็นนะครับ ผมก็ไม่ได้ขัดอะไร ใครจะเห็นว่าเป็นมหาจักรพรรดิดีก็แล้วแต่เขา สำหรับผมแล้วเห็นเป็นมหาทุกข์ เจ้าชายสิทธัตถะทรงทิ้งตำแหน่งมหาจักรพรรดิ์ มาหาหนทางพ้นทุกข์ ผมเองก็ขอดำเนินรอยตาม องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเช่นกันครับ ส่วนใครจะชอบหนทางที่เจ้าชายสิทธัตถะไม่เลือกนั้น ก็เป็นสิทธิของท่านทั้งหลาย ไม่ว่ากันครับ...
                นิทานขี้โม้กลายเป็นนิทานขี้บ่นได้ยังไงก็ไม่รู้สินะ เอาเป็นว่าพี่ท่านนี้ก็ย่อมมีสิทธิที่จะไม่เชื่อข้าพเจ้า เอาบทสวดจักรพรรดิไปให้ลูกสาวผู้ป่วยหรือเวลานี้คือผู้ตายฟังแบบกำชับว่าเปิดเบาๆนะ ซึ่งก็เป็นสิทธิที่ท่านทั้งหลายจะทำได้ และไม่จำเป็นต้องมาเชื่อผมเลยแม้แต่น้อย ว่าแต่นะ ไม่เชื่อแล้วจะมาถามเราทำไมว้า....

                แต่สำหรับคนที่สวดมนต์เป็นประจำ มีการฝึกสมาธิประกอบด้วยนั้น ก็จะมักจะมีบทสวดมนต์ที่ตนเองชอบสวด ชอบฟัง เป็นประจำ คนพวกนี้เวลาก่อนจะตาย ถ้าได้ฟังบทสวดที่ตนเองสวดเป็นประจำ เป็นบทที่ชอบ ก็จะมีใจรื่นเริง เบิกบานในธรรม มีจิตเป็นสมาธิ ทรงอารมณ์ฌานได้ดี เมื่อจิตดับวูบลงไป แทนที่จะไปเป็นเทวดา ก็มักจะไปเกิดบนพรหมโลกเป็นส่วนมาก  ดังนั้นการฟังใครเขาว่าคนที่ใกล้ตายให้เปิดบทสวดมนต์ให้ฟัง เพื่อจะได้ไปสู่สุคตินั้น ก็ต้องดูความประพฤติของคนๆนั้นยามมีชีวิตอยู่ด้วยครับ ไม่เช่นนั้นก่อนประหารชีวิตฆาตกร ก็เปิดบทสวดมนต์ให้ฟัง ไปสู่สุคติทุกคนสิครับ จะมาฟังอะไรกันตอนใกล้จะตายครับ ตอนมีชีวิตอยู่หลายสิบปีนี่ไม่ฟังเลย ไม่สวดเลย ไม่ภาวนา ไม่ทำสมาธิ จะมาทำเอาตอนกำลังจะตาย แล้วมันจะรอดเหรอครับ??? 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ศาสตราวุธในโลกวิญญาณ

กรรมมันหนีไม่ได้หรอก

บทนำ นิทานขี้โม้