ตายแล้วไปไหน ตอนที่2

ตายแล้วไปไหน(2)

                มีน้องผู้หญิงคนนึง เป็นมะเร็งเสียชีวิต ก่อนจะเสียชีวิตก็ได้แนะนำให้ไปทำบุญบ้าง เข้าวัดไปกราบไหว้ครูบาอาจารย์ให้ช่วยบ้าง เราก็ทำได้เท่านั้น ต่อมาก็มาถามกับข้าพเจ้าว่า เธอจะหมดอายุขัยปีนี้แล้วหรือ ก็ตอบว่า เป็นไปตามนั้น นี่ก็ยืดมาได้ปีนึงแล้วนะ เธอก็พยายามจะไปทำโน่นๆนี่ๆ แล้วก็กลับมาถามว่า อนาคตที่เธอจะสิ้นชีวิตนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วหรือยัง ก็ต้องตอบไปตามตรงว่า ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป ยังคงเหมือนเดิม หลังจากนั้นไม่นานเธอก็เข้า โรงพยาบาล และเสียชีวิตลง ก็มีแม่ชีที่เธอเคยไปอยู่ด้วย 7 วัน บอกว่าผู้ตายได้ทำบุญเอาไว้ดีแล้ว ตอนนี้ไปเกิดอยู่บนชั้นพรหมแล้ว และจะบำเพ็ญบารมีต่อ เข้านิพพานไป โดยไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว กับมีความพยายามจะนำเอาสิ่งที่ผู้ตายได้พูดปลงเรื่องชีวิต เอามาเผยแพร่ว่าเธอผู้นี้ได้เห็นธรรมแล้ว ปลงใจกับความทุกข์ในโลกนี้แล้ว เธอไปดีแล้ว
                แต่ว่าผมเห็นเธอไปยืนรออยู่ที่สำนักพระยายม ก็เห็นว่าถ้าแม่ชีนำผู้ปฎิบัติธรรมลงไปช่วยก็จะสามารถช่วยเธอได้ ให้มารับผลบุญก่อน แต่ในเมื่อแม่ชียืนยันว่าเธอไปเกิดเป็นพรหมแล้ว ก็จบกัน การช่วยเหลือย่อมไม่ต้องมี ส่วนผมเองนี่ก็อาจจะอุปทานไปเองก็ได้ เพราะว่าผมนี่จะว่าไปแล้วมันก็ยังกระจอกอยู่มาก ยังเป็นปุถุชน คือบุคคลที่หนาแน่นไปด้วยกิเลส การที่จะเห็นผิดพลาดย่อมมีได้ ไม่ใช่เรื่องน่าแปลก เพราะยังห่วยจัด
                ในญาณ๘นั้น มีทิพยจักขุญาณเป็นหลัก ญาณอื่นๆก็อาศัยพื้นฐานจากทิพยจักขุญาณออกไปนี่เอง ด้วยอาศัยว่าเวลาจะใช้วิชานี้ ก็จะขอบารมีพระและครูบาอาจารย์ก่อนเสมอๆ เห็นแล้วก็ไม่ได้ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่ว่าก็ต้องอาศัยญาณอื่นๆตรวจสอบไปด้วยว่า ถ้าหญิงคนนี้ไปอยู่ที่สำนักพระยายม ทั้งๆที่แม่ชีบอกว่าไปเกิดเป็นพรหมแล้ว จากการบวชเนกขัมมะก็ดี การทำบุญก็ดี แล้วทำไมเราจึงเห็นว่ามาอยู่ที่สำนักพระยายม ก็ต้องอาศัยยถากรรมมุตาญาณ ควบกับเจโตปริยญาณ ดูว่าเธอทำกรรมดีกรรมชั่วอะไรไว้ตอนไหน วาระจิตของเธอเป็นเช่นไรจึงต้องมาอยู่ในลักษณะนี้ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อาศัยถามจากท่านผู้มีพระคุณทั้งหลายเหมือนเดิม ซึ่งบางเรื่องก็ดูเหลือเชื่อ บางอย่างก็กลายมาเป็นอุทธาหรณ์สอนใจตนเองด้วยเช่นกัน
                อดีตชาติของเธอผู้นี้ทำปาณาติบาตไว้มาก ทั้งโกง ทั้งใส่ร้าย เข่นฆ่าล้างผลาญชีวิตเอาไว้มาก ชาตินี้มาเกิดก็ไม่ได้ทำบุญ สวดมนต์ เจริญภาวนา ยังคงหลงใหลไปในโลกียะทั้งหลาย จวบจนเกิดโรคร้ายจึงได้คิดหาทางแก้ไข จะให้ทำอะไรที่ไหนยังไงก็ยอมทุกอย่าง เพื่อให้หายจากโรค ไปหาพระ เข้าวัด ทำบุญ สวดมนต์ ทำได้ทุกอย่าง แต่ว่า เธอทำลงไปด้วยความเห็นแก่ตัว ไม่ได้ทำลงไปด้วยความจริงใจในการทำความดี จนพอเมื่ออาการดีขึ้น ก็กลับไปหลงระเริงอีกครั้ง ทอดทิ้งการทำความดีที่ครูบาอาจารย์ทุ่มเทเสี่ยงชีวิตช่วยเหลือเอาไว้ ก็เป็นวาระที่เจ้ากรรมนายเวรยิ้มระรื่น ผลกรรมก็ถาโถมใส่เข้ามาอีกครั้ง จนหมดหนทางเยียวยา ก็ยังพยายามจะหาสิ่งต่างๆมากันมาแก้ แต่ว่ามันก็สายไปเสียแล้ว เวลานั้นเธอได้ศึกษาธรรมะ ด้วยอาศัยสติปัญญา ไอคิวที่ดี ก็ย่อมสามารถจดจำคำสอนเอามาพูดกล่าวเล่าให้ใครฟังได้อย่างดี ซึ่งการทำเช่นนี้สำหรับบุคคลที่ได้รับฟังแล้วย่อมรู้สึกว่าดี แต่จิตใจของเธอผู้กล่าวออกมานี้ คิดว่าการพูดปลงแบบนี้แล้วจะช่วยให้เธอนี้พ้นจากทุกข์ได้ คือพูดเพื่อหวังผล ปลงเพื่อหวังว่าจะได้รับผลประโยชน์จากการปลง นี่มันคือปมที่ซ้อนปม เป็นจิตใจของคนที่เห็นแก่ตัวหวังจะทำอะไรลงไปเพียงเพื่อให้ตัวเองได้ผลประโยชน์ ให้ตัวเองรอดจากอบายภูมิ หาได้มีความจริงใจศรัทธาต่อคำสอน และหาได้สำนึกผิดในบาปที่ตนก่ออย่างแท้จริง เพราะโมหะนี้เอง ทำให้ต้องมารอรับการพิจารณาอยู่ที่สำนักพระยายม
                ทำให้นึกถึงคำพูดของหลวงตาบัวที่ว่า “อวิชชาผ่องใสอย่างยิ่ง” อวิชชาไม่ได้แปลว่าโง่ อวิชชานี่ฉลาดแบบเจ้าเล่ห์ ใช้เล่เหลี่ยมหลอกล่อพลิกแพลง แต่ว่าธรรมะเป็นเรื่องที่ตรงไปตรงมา ฉลาดในการหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่น คนทำบุญเหมือนกัน สวดมนต์เหมือนกัน ทำสมาธิเหมือนกัน ก็ใช่ว่าจะได้บุญได้กุศลเหมือนกัน เพราะคนหนึ่งทำเพื่อหวังว่าจะใช้กลบเกลื่อนหนีความผิดที่ตนกระทำลงไป เหมือนเอากระดาษห่อของขวัญมาห่อหุ้มสิ่งปฏิกูลเอาไว้ เพื่อหลอกว่าเป็นของขวัญของรางวัลมีค่า ย่อมไม่เกิดผลดีเท่าไรนัก เพราะแม้ว่าเราจะทำหรือจะพูดเพื่อโกหกหลอกลวงใครต่อใครได้ แต่โกหกหลอกลวงจิตใจตัวเองไม่ได้ว่าแท้จริงแล้ว ภายในใจ(ภายในกล่องของขวัญ)มีสิ่งใดอยู่ข้างในกันแน่ ซึ่งย่อมแตกต่างจากผู้ที่ทำบุญ สวดมนต์ นั่งสมาธิ เพื่อมุ่งหวังจะดับทุกข์ ปรารถนาการหลุดพ้นจากวัฎสงสาร ไม่สนใจใยดีต่อการมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ไม่ใยดีต่อลาภ สักการะ คำสรรเสริญ ผลที่ได้ย่อมแตกต่างกัน

                นิทานขี้โม้เรื่องนี้ แม้จะเป็นอุปทานหรือไม่ก็ตาม ก็ได้ข้อคิดเตือนใจตัวเองว่า การปฏิบัติธรรมของเรานี้ อย่าทำเป็นลิงหลอกเจ้า อย่าทำเป็นนักปฏิบัติธรรมเจ้าเล่ห์ กลิ้งกลอก นักพลิกแพลง มันจะฉิบหายในบั้นปลาย จงทำตัวเป็นนักปฏิบัติธรรมที่จริงใจ เปิดเผย ทำเพื่อลด ละ เบื่อหน่าย คลายกำหนัด เพื่อให้ออกจากกาม ทำโดยไม่หวังผลในลาภ ยศ สรรเสริญ สักการะ หรือผลประโยชน์อื่นใด เราจะทำความเพียรนี้ เพื่อขจัดสิ่งชั่วในดวงใจของเรา ทำเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ศาสตราวุธในโลกวิญญาณ

กรรมมันหนีไม่ได้หรอก

บทนำ นิทานขี้โม้