ทางสู่ปรโลก

ทางสู่ปรโลก

                ไหว้พระเสร็จแล้ว สมาทานพระกรรมฐานเป็นที่เรียบร้อย ก็ได้เวลาขออาราธนาบารมีพระ ครูบาอาจารย์ ท่านสงเคราะห์ ร่วมทางไปด้วย เพื่อป้องกันอาการเฝือ หรือเผื่อว่าเกิดเรื่องอะไรไม่ชอบมาพากลก็ยังได้รับความคุ้มครองให้ปลอดภัยได้ ศิษย์มีครูก็เหมือนงูมีพิษ ให้ไปเดี่ยวๆก็ไม่ไปหรอกครับ อยู่เฉยๆดีกว่า ไม่ได้อยากจะไปรู้อะไรมากมายนักหรอก...

                ค่อยๆออกไปอย่างช้าๆ ตรงไปทางทิศตะวันออก มุ่งหน้าไปเรื่อยๆ ก็เริ่มเห็นเป็นทางเหมือนมีเมฆเป็นถนน เดินต่อๆไปก็จะเจอเป็นทางสามแพร่ง ถ้าตรงไป ก็จะเป็นทางลาดลงต่ำ เริ่มมืดครึ้มๆ เหมือนเวลาโพล้เพล้ ที่ทางใต้เรียกว่า เวลามุ้งมิ้ง จากทางเดินลาดต่ำตรงไปก็จะกลายเป็นทุ่ง เหมือนทุ่งหญ้าเตี้ยๆ มืดๆ อึมครึมก็จะมีคนมายืนรอกันมากมาย ท่วมทุ่ง แต่ละคนก็เดินช้าๆ บ้างก็หยุดยืน ก้มหน้าต่ำ เหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก พวกนี้ก็จะรอลำดับไปไต่สวนที่สำนักพญายม มองๆไปก็จะมีทั้งไทย จีน อินเดีย แขก ฝรั่ง มีหลายสัญชาติด้วยกัน มาแค่นี้ก่อนก็เพราะจะย้อนไปดูว่าที่ตรงทางสามแพร่ง ไปทางไหนได้อีกบ้าง

                จากทางสามแพร่งถ้าเลี้ยวซ้ายไปจะเป็นเขตแดนสวรรค์ สวรรค์ไม่ได้เป็นชั้นๆเหมือนพรหม เดินเรื่อยๆไปก็จะเข้าเขตสวรรค์ ดาวดึงส์ ที่รู้นี่ก็เพราะว่า เห็นมีสระน้ำขนาดใหญ่ มีพระจุฬามณีเจดียสถาน มีพระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ เห็นพระอินทร์ท่านนั่งอยู่ ก็ต้องเข้าไปกราบก่อน เพราะว่าท่านเป็นเจ้าของสถานที่ มองไปไกลๆก็จะเห็นภูเขา มีที่ต่อกันเป็นเทือกก็มี ที่เป็นภูเขาเงิน ภูเขาทองคำ ภูเขาเพชรก็มี แต่ว่าที่นี่ไม่มีใครสนใจอยากได้ คงเพราะว่าไม่รู้จะเอาไปทำอะไร วิมานมีอยู่ทั่วไปลอยไปมาได้ มีทั้งที่เป็นแก้วสีๆ และเป็นทองคำ มีนางฟ้าขับร้องฟ้อนรำ เหมือนจะสนุกสนาน แต่ว่าผมดูแล้วมันน่าเบื่อมากกว่า อยากได้อะไรก็นึกเอา ของที่เป็นทิพย์ก็เกิดขึ้นตามแรงอธิษฐาน มันก็เท่านั้นเอง ไม่ลำบาก ไม่ต้องลุ้น

                เดินแบบลอยๆตรงไปเรื่อยๆ ก็เจอสวรรค์อีกเขตแดนหนึ่ง ที่นี่มีแต่คนนั่งสวดมนต์ ใส่ชุดสีขาว ไม่มีการประดับตกแต่งแต่อย่างใด ต่างคนต่างสวดมนต์ไป เสียงฟังไพเราะดี ไม่ดังมาก ไม่รบกวนกัน แต่ก็ไม่พูดไม่จากับใคร ก็ดีเหมือนกัน พวกนี้คือคนที่รักการสวดมนต์มาตั้งแต่ยังเป็นมนุษย์อยู่ ตายมาก็มาเกิดที่นี่กัน มาสวดมนต์ต่อ

                เลยออกไปทางขวามือทะแยงๆไป จะเห็นแสงสว่างจ้ามาก ไปดูว่าที่นี่เป็นสวรรค์ชั้นดุสิต พระโพธิสัตย์มาชุมนุมกันที่นี่ทั้งหมด มีวิมานสวยงาม ทำด้วยแก้วเหลือบด้วยทองคำ หลังใหญ่ เทวดาแต่ละองค์นั่งเสวนากันถึงเรื่องการทำคุณงามความดีต่างๆ และการช่วยสงเคราะห์มนุษย์ที่รักในการทำความดี ที่นี่เทวดามีบารมีมากอยู่ด้วยกัน มีเมตตามาก ไม่ได้มีเรื่องรื่นเริงฟ้อนรำ แต่ก็ดูอิ่มเอิบยิ้มแย้มแจ่มใสกันดี มาถึงที่นี่ก็ต้องไปกราบพระศรีอาริยเมตตรัย ที่กล่าวกันว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ถัดไป ซึ่งปกติก็มักจะแวะเวียนมากราบท่านอยู่บ่อยๆเหมือนกัน ชุดทรงที่แต่งกาย มีชฎา ไม่ได้แหลมสูง มีทัดทรวงเป็นแก้ว มีรัดแขน มีกำไลข้อมือทั้งสองข้าง รองพระบาทเป็นรองเท้าแบบปลายงอนขึ้น ทำจากแก้ว ผสมทองคำ ชุดทรงต่างๆดูๆไปแล้วจะเหมือนพระจักรพรรดิที่หลวงปู่ดู่ วัดสะแก สร้างเอาไว้ เรื่องที่ไม่เข้าใจคือ หลวงพ่อทวด วัดช้างไห้ ก็อยู่ที่นี่ หลวงปู่ดู่ วัดสะแก ก็อยู่ที่นี่ มากราบเรียนถามพระศรีอาริยเมตตรัย ท่านก็ตรัสตอบว่า เป็นองค์เดียวกัน แต่ว่าแบ่งภาคลงไปบำเพ็ญบารมี ใครที่เป็นลูกศิษย์ เคยผูกพันกับองค์ไหนมาก็จะเห็นเป็นองค์นั้น แต่ว่าจริงๆแล้วก็องค์เดียวกัน... อีกองค์นึงที่ต้องกราบท่าน คือหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ท่านมาในรูปพระสงฆ์ให้จดจำได้ องค์นี้มีความเมตตามาก รู้สึกถึงความผูกพันเหมือนได้กลับมาเจอพ่อเราเอง กับหลวงพ่อทวดก็รู้สึกเช่นนี้เหมือนกัน เป็นความผูกพันคุ้นเคยมาแต่ในอดีต ท่านก็เมตตาคอยคุ้มครอง รอดตายมาได้ก็หลายหน เว้นแต่เป็นเรื่องกฎของกรรม ท่านทั้งสองจะปรากฏให้เห็น แต่ว่ายืนอยู่นิ่งๆ ไม่ช่วย เพราะช่วยไม่ได้ ได้แต่บอกว่าให้ระวัง

                ผ่านมาเขตแดนสุดท้าย เยื้องๆมาทางซ้ายมือ ท่านเหล่านี้ทำบุญมาดีมาก มีการเจริญสมาธิ มีฤทธิ์มาก แต่ก็ดูเหมือนจะดุ และมีอำนาจน่าเกรงขาม ผ่านเข้าไปเขตแดนนี้จะรู้สึกเกร็งๆสักหน่อย เทวดาท่านก็ตายมาจากการเป็นคนมาก่อน นิสัยบางอย่างก็ยังติดมาจากตอนเป็นมนุษย์ บางอย่างก็คุยยาก ไม่ค่อยฟังกัน เพราะถือว่าเรามันกระจอกกว่าท่านมาก พูดผิดพูดถูก ดีไม่ดี จะโดนดีดกระเด็นออกมา ดังนั้นเขตแดนสุดท้ายนี้ก็เลยไม่ค่อยอยากจะแวะไปสักเท่าไร ไปแค่ให้ได้เห็นบ้าง แล้วก็ไม่ค่อยได้ไปอีก

                ลงมาข้างล่างๆหน่อย อันนี้ใกล้ชิดกับพวกมนุษย์มากสักหน่อย ก็เห็นจะเป็นจาตุมหาราชิกา เป็นพระภูมิเทวดา อากาศเทวดา เจ้าที่เจ้าทาง ท่านทั้งหลายเหล่านี้ยังมีนิสัยความเป็นคนติดอยู่มากหน่อย เวลาขอความช่วยเหลือ ก็นิยมจะขอเทวดาในเขตแดนนี้มากที่สุด มีวิมานเป็นของตนเอง ลอยไปลอยมาในอากาศ แต่ทว่าหลังไม่ใหญ่ ไม่สวยงามเหมือนกับท่านที่อยู่สวรรค์ในเขตดาวดึงส์

                เขตแดนสวรรค์แวะไปดูมาก็มีทำนองนี้ ไม่ค่อยได้ไป ส่วนมากจะชอบไปนรกมากกว่า มีเรื่องให้ซักถามเยอะดี แล้วก็ย้อนกลับมาที่ทางสามแพร่ง มองไปทางขวา เลี้ยวไปสักพัก ก็จะเข้าเขตแดนของพรหม อันนี้แหละที่เป็นชั้นๆ มีทั้งหมด 16 ชั้น แต่ละชั้นก็จะมีรัศมีกายสว่างมากน้อยต่างกัน ความยาวของรัศมีกายที่กระจายไปไกลจากตัวก็ต่างกัน ขนาดของร่างกายก็ต่างกัน แต่ว่าทั้งหมดกายจะใสเป็นแก้วประกายพรึกทั้งหมด จะว่าไปจริงๆแล้ว ถ้าท่านทั้งหลายมายืนปนๆกัน ผมก็แยกไม่ออกหรอกนะว่า ท่านอยู่ชั้นไหนกันบ้าง ถ้าท่านไม่บอก ก็ไม่รู้เหมือนกันแล้ว เพราะว่าตาไม่ค่อยจะดี ดูแล้วแยกไม่ค่อยจะออก แต่ว่าสนใจเรื่องอรูปพรหมมากกว่า จึงขอไปดูที่อรูปพรหม ซึ่งอยู่สูงเลยจาก พรหมชั้นที่16 ขึ้นไป มีทั้งหมด4ชั้น แต่ว่า 4 ชั้นนี้มองไม่ค่อยเห็นว่าแยกกันเป็นชั้นชัดเจน เหมือนจะลอยๆกันไปอยู่ในระดับที่ต่างกันเท่านั้นเอง


                ก่อนผมจะไปชั้นอรูปพรหมนี่ ผมเคยคิดว่า พรหมลูกฟัก คงจะหน้าตาเหมือนฟักเขียว ที่เอามาแกงกันนี่แหละครับ ยาวๆ ลอยไปลอยมา อันนี้ฟังพี่ชายมาอีกที ซึ่งจินตนาการได้เหลือล้ำจริงๆ มาเห็นที่นี่แล้ว ไม่ใช่ฟักเขียวหรอกนะครับ รูปร่างคล้ายๆฟักทองมากกว่า มีบางรูปที่จะออกรีๆยาวๆหน่อยแต่ก็ป้อมๆ มองๆไปแล้ว ก็มีส่วนคล้ายๆกับแมงกะพรุนที่ลอยไปลอยมา คุยไม่ได้ เพราะรับรู้อะไรไม่ได้ มีสภาพโปร่งๆใสๆ คล้ายๆแก้วแต่ว่าไม่ใช่แก้ว อธิบายไม่ถูก เลยขึ้นไปดูอรูปพรหมขั้นสุด เนสัญญานาสัญญายตนะ ที่ท่านดับได้ทั้ง รูป เวทนา วิญญาณ สัญญา สภาพท่านเหล่านี้ อีกนิดเดียวเท่านั้นก็จะบรรลุเข้านิพพานได้แล้ว ห่างไปอีกนิดเดียวเท่านั้น เป็นที่น่าเสียดายมาก รูปร่างของพรหมชั้นนี้ ผมเห็นเป็นเหมือนกลุ่มหมอก รูปร่างคล้ายๆกับหมอน เป็นหมอกจางๆ ลอยผ่านไปผ่านมา อีกไม่รู้กี่อสงไขยกัล์ปถึงจะได้กลับลงไปเกิดใหม่ สภาพนี้ใกล้เคียงกับเมื่อครั้งเริ่มกำเนิดมนุษย์ในครั้งแรกๆเลยทีเดียว จุติจากสภาพนี้แล้ว ความรู้สึก ประสาทสัมผัส ความทรงจำต่างๆ ไม่มีเลย จะเล่าต่อว่าท่านเหล่านี้จะไปเกิดเป็นอะไรในภายภาคหน้า ก็รู้สึกเกรงใจมาก เดี๋ยวคนจะคิดเลยเถิดเกินนิทานขี้โม้ไป...เป็นอันว่ายกเอาไว้ ไม่ต้องสงสัย หรือไปสนใจดีกว่า อ่านเอาแค่สนุกๆ แค่เป็นนิทาน...ไม่เอาสาระ...

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ศาสตราวุธในโลกวิญญาณ

กรรมมันหนีไม่ได้หรอก

บทนำ นิทานขี้โม้