ผีช่างประปาขี้ขโมย
ผีช่างประปาขี้ขโมย
วันนี้พากันไปสำนักพระยายมราช
มีไปกัน 6-7 คน ไปพร้อมๆกัน ไปดูว่าที่สำนักพระยายมเวลานี้มีใครที่เรารู้จัก
แล้วยังรออยู่ไม่ไปไหนบ้างไหม? เวลาดูนี่เราก็อาศัยการอธิษฐานเอานะครับ
ไม่ได้ไปเดินดูหน้าทีละคนหรอก พอนึกขึ้นมา ภาพตาช่างประปาที่แกตายไป หลายปีแล้ว ก็ปรากฏ
ผมก็ว่าเจอตาช่างประปานี่แหละ รออยู่ที่สำนักพระยายม รอการพิจารณาตัดสิน....
ผมเห็นรูปร่างหน้าตา
เสื้อผ้า กางเกงที่ใส่ สีอะไร สั้นยาวแค่ไหน แต่ผมไม่เล่าต่อครับ
เพราะการเห็นแบบนี้มันอาจจะเป็นอุปาทานก็ได้ใครจะไปรู้ครับ
ยิ่งผมมันบ้าๆแบบนี้ด้วยแล้ว มันยิ่งเชื่อตัวเองไม่ได้เข้าไปใหญ่
ผมก็เลยรอท่านที่เหลือ บอกมาสิครับว่า รูปร่างหน้าตาช่างประปาเป็นยังไง
เสื้อผ้าแบบไหน ปรากฏว่ามี 4-5 คนแกอธิบายมาได้ เป็นฉากๆ เหมือนอย่างที่เราเห็น บอกได้ด้วยว่าแกเป็นคนขี้ขโมย
ชอบขโมยของชาวบ้าน แต่ผมก็มาสงสัยว่า มันจะเป็นอุปาทานหมู่ได้หรือเปล่า
หรือเกิดจากกระแสจิตของเราไปกระตุ้นให้คนที่เหลือมองเห็นอย่างที่เราเห็น นี่แหละครับ
สันดานของคนที่ช่างสงสัย แล้วก็โดนหลวงพ่อด่าเป็นประจำ พร้อมกับคำถามที่ว่า
อุปาทานมันเป็นยังไงรู้ไหม???? ก็ตอบไปตามประสาคนไม่รู้แต่นึกว่าตัวเองรู้ ก็ว่า
เป็นความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตนรู้ตนเห็นมา เป็นคำตอบที่คิดว่าถูก
แต่ว่าจริงๆแล้วมันก็ไม่ถูก จะว่าไม่ถูกเสียเลยทีเดียวก็ไม่ใช่ แต่ว่ามันเป็นท่อนปลายเสียแล้ว
ตอนต้นที่จะเกิดอุปาทานนี่ไม่รู้ เพราะไม่เคยฝึกเพื่อที่จะรู้
ก็เลยไม่รู้ไม่เห็นว่า สภาวะของอุปาทานที่เกิดที่จิตมันเป็นอย่างไร มีสัญญา
เป็นองค์ประกอบ มีสังขารคอยปรุงแต่ง เกิดเป็นนาม รูป
แล้วจึงจะบันทึกลงไปไว้เป็นอุปาทานให้เจ้าตัวยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตนรู้ตนเห็น
กระบวนการตรงนี้เกิดขึ้นไวมาก และเกิดขึ้นหลายรอบด้วยกัน ก่อนจะเกิดเป็นอุปาทาน
ถ้าจะรู้ตรงนี้ก็ต้องเจริญสติให้มาก ต้องเริ่มจากอนุสติก่อน
ค่อยฝึกๆไปจนเติบโตขึ้นมาเป็นสติ ถ้าฝึกไปเรื่อยๆไม่หยุดยั้ง ก็จะมีสติต่อเนื่อง
มีกำลังมาก มีความแคล่วคล่องว่องไว จนกลายเป็นมหาสติ ถึงเวลานั้นแล้ว
จะได้รู้ได้เห็นว่า สัญญา สังขาร อุปาทาน นามรูป วิญญาณ เวทนา
อารมณ์ต่างๆที่เข้ามากระทบ มันเป็นอย่างไร มีความเกี่ยวเนื่องถึงกันอย่างไร
ก็เป็นอันว่าตาช่างประปาขี้ขโมยนี่แกยืนอยู่ที่นี่หลายปีแล้ว
ถามได้ความว่า ที่นี่ 50 ปีเท่ากับโลกมนุษย์1วัน แล้วแกก็ต้องรอไปแบบนี้อีกนาน
ว่าแล้วก็เลยลองกันว่า ถ้าเราหลายๆคนอุทิศส่วนกุศลไปให้ จะช่วยอะไรแกได้บ้าง
ตรงนี้ก็ต้องไปขออนุญาตพระยายมราชก่อนนะครับ ท่านอนุญาตแล้วจึงค่อยอุทิศส่วนกุศล
เวลาอุทิศก็ว่ากันง่ายๆว่า “ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าได้เคยบำเพ็ญแล้วจนถึงบัดนี้
ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่ดวงวิญญาณที่อยู่เบื้องหน้านี้ ขอให้ดวงวิญญาณนี้
ได้อนุโมทนาในผลบุญของข้าพเจ้า และจะพึงได้รับประโยชน์ ความสุข
เฉกเช่นเดียวกับข้าพเจ้าทุกประการ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด”
ว่าจบตาช่างประปาขี้ขโมยนี่ร่างกายเปลี่ยนไปเป็นเทวดาชั้นต้นๆ
ว่าแล้วเราก็ขอกลับบ้างว่า ในเมื่อเป็นเทวดาแล้ว
ต่อไปนี้ก็ขอให้มาตามคุ้มครองข้าพเจ้าด้วย จะมีเหตุอันใดเกิดขึ้นถ้าไม่เกินกฎของกรรมก็ขอให้ช่วยขจัดทิ้งไป
หรือถ้าขจัดไม่ได้ก็ขอให้มาช่วยเตือนให้รู้ ในทางใดทางหนึ่ง
เพื่อเราจะได้ระมัดระวัง...ก็เป็นอันว่าจบ...แต่เราเองมันไม่จบ..
มันไม่แฟร์นะครับ
ถ้าเป็นผีแล้วต้องรับการพิพากษา จู่ๆมีคนมาอุทิศส่วนกุศลให้แล้วได้เป็นเทวดา
แบบนี้ไม่ต้องทำบุญกันแล้วครับ รอตายไปแล้วให้คนที่ได้กรรมฐานมาช่วย
ก็ได้เป็นเทวดาแล้ว จะมาลำบากทำบุญเอง ทำทานด้วย รักษาศีล
ภาวนากันหลายๆปีแบบนี้ไปทำไมกัน อย่างงี้มันง่ายไปหรือเปล่าครับ?
การอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลนี้
ก็ไม่ได้ทำให้บุญกุศลเราลดน้อยถอยลงแต่อย่างใด แม้เขาได้โมทนาบุญแล้ว
ได้เปลี่ยนภพภูมิไปแล้ว ได้เสวยสุขก็เป็นแต่เพียงชั่วคราว
หากเขาไม่ใช้โอกาสนี้ในการสร้างคุณงามความดีต่อ เมื่อหมดผลบุญก็จะดิ่งลงนรกทันที
เพราะบาปกรรมที่เขาได้กระทำไว้ไม่ได้หายไปไหน ยังคงขังตัวรอให้เจ้าของกรรมมาชดใช้อยู่
ส่วนพวกเราเองที่อุทิศส่วนกุศลนี้ ก็ได้บำเพ็ญบารมีคือเมตตาบารมี
ได้ให้โอกาสเขากลับตัวกลับใจหันมาทำความดี นี่ก็เป็นปัญญาบารมี
ส่วนความชั่วหรือบาปกรรมที่เขาทำเอาไว้ก็เห็นว่าวันหนึ่งภายหน้าเขาต้องได้รับแล้ว
เราจะไปยินดียินร้ายก็ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด อะไรที่เราช่วยเขาได้เราก็ช่วยไป
นี่เป็นอุเบกขาบารมี ผลบุญที่อุทิศให้ไปนี้ ก็เป็นทานบารมี นี่แท้ที่จริงแล้ว
เรามาทำตรงนี้ เป็นการบำเพ็ญบารมีอย่างนึงครับ ถ้ามามัวสงสัย ข้องใจ งี่เง่า
อย่างผมนี่ บุญก็ไม่ได้ นรกจะกินกระบาลเปล่าๆ...นิทานขี้โม้เรื่องนี้จึงสอนให้รู้ว่า.....????
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น