หลุมดำและความระยำของข้าฯตอนที่2 จบ

หลุมดำและความระยำของข้าฯตอนที่2 จบ

                คำตอบที่ได้รับคือว่า พวกข้าฯมีฤทธิ์อำนาจมากกว่ายมทูตพวกนั้น พวกมันไม่กล้ามาจับไปลงนรก จะเข้ามาใกล้ๆมันก็ยังไม่กล้า ครั้งนี้แวะไปก็ไปดูว่าพวกที่อยู่ในนี้ทำอะไรเอาไว้บ้าง ถึงได้มีโอกาสมาเกิดในดินแดนแห่งนี้ได้  คนนำทางก็พาไปเยี่ยมเยียน วิญญาณที่อยู่ที่นี่ ไม่ได้แบ่งเป็นชั้นๆ แต่มีเป็นเหมือนอาณาเขตของใครของมัน ความที่มันมืดมาก การมองเห็นด้วยกำลังทิพยจักขุญาณก็ทำได้ยาก จนเมื่อเริ่มชินแล้ว จึงได้เห็นรูปร่างหน้าตา การแต่งกาย เสื้อผ้าที่ใส่ก็รุ่มๆร่ามๆ สีดำๆ เหมือนเสื้อคลุมก็มี ใส่กางเกง โคล่งๆก็มี มีผ้าคลุมหัวบ้าง ไม่มีบ้าง ผมเผ้ายาวรุงรัง ดูดีกว่าอสุรกายก็ที่ตาไม่โปนแดง ไม่มีน้ำลายไหลยืด พวกนี้ดูจะน่ากลัวกว่ามาก แต่ละตนมีพลังอำนาจลึกลับเป็นพิเศษ

                มองดูๆไปก็เหมือนพวกหมอผี ยิปซี หรือพ่อมด แม่มด ที่คนป่าคนเถื่อนนับถือกัน เวลานั้นก็ได้รับคำตอบจากผู้ที่พาไปว่า ถูกต้องแล้ว พวกนี้ตอนมีชีวิตก็มีพิธีกรรม ทำตัวแบบเดียวกับหมอผี แม่มด ก็สงสัยว่า แล้ววิชาที่พวกนี้ฝึกมันเป็นยังไง ถ้าจะเทียบกับไสยศาสตร์ทางเขมร ไทย แล้วแบบไหนจะมีความรุนแรงกว่ากัน ผู้ที่พาทัวร์ก็แนะนำว่า วิชาของพวกเรานี้แตกต่างจากไสยศาสตร์ เราเน้นที่การบูชายันต์ บางครั้งก็ใช้เด็กชาย 7 คน เด็กหญิง 7 คน บางครั้งก็หญิงพรหมจรรย์ 7 คนบ้าง 9 คนบ้าง 49 คนบ้าง 108 คนบ้าง เวลาทำพิธีกรรมสวดแช่งต่างๆนั้น ไสยศาสตร์ใช้แค่คนเดียว แต่พวกเราใช้คนหลายคน เป็นหมู่ มาช่วยกันทำพิธี ทำให้อำนาจ และความรุนแรงมีมากกว่าวิชาทางไสยศาสตร์มาก

                พิธีกรรมพวกนี้ทำกันทั้งคืนบ้าง ทำกันตลอด7วันก็มี บ้างก็ขุดหลุมใหญ่ๆก่อไฟเอาไว้แล้วเอาคนโยนลงไปเผาทั้งเป็น คืนละคนบ้าง หลายๆคนก็มี เพื่อให้เกิดอาถรรพ์ด้านมืด ได้เข้าถึงนายใหญ่ และได้รับพลังอำนาจจากนายใหญ่ได้ แต่ไม่ว่าจะเก่งกาจ ร้ายกาจเพียงใด สุดท้ายก็ต้องตายเหมือนกันหมด ไม่มีใครที่เกิดขึ้นมาแล้วจะไม่ตาย เมื่อตายลงไปก็มาปรากฏอยู่ที่นี่เลย การจะหลุดพ้นจากที่นี่ได้นั้น ต้องใช้เวลานานแสนนานนับอสงไขยกัลป์ไม่ถ้วน อยู่ในความมืดมิดยาวนาน

                ในอาณาจักรแห่งนี้ ยังได้เห็นพวกปอบอาคมที่อายุนับพันนับหมื่นปี ฤษีที่ชอบบูชายัญด้วยชีวิตคนก็มาอยู่กันที่นี่ ตัวเราเองก็เคยอยู่ที่นี่มานานนับอสงไขยไม่ถ้วนเช่นกัน ทำให้อดนึกถึงความระยำของตัวเองไม่ได้ว่า เวลาเราอยู่ในความมืด ความชั่ว ความทุกข์ทรมานนานแสนนานกลับไม่รู้สึกที่จะขวนขวายออกไปหาความดี จมปลักอยู่กับความมืด ความชั่วได้เป็นเวลานานๆ ต่อเมื่อได้เดินไปในหนทางสว่างแล้ว พอมีใครมาบอกว่า 16 อสงไขยกำไรแสนกัลป์เท่านั้น ก็คิดจะท้อต่อระยะเวลาในการสร้างความดีเสียแล้ว ทั้งที่เวลาอยู่ในโลกมืดนั้น นานกว่า16อสงไขยจนเทียบกันแทบไม่ได้เลย แล้วมาเกิดในนรกรวมๆกันก็ยาวนานกว่า 16 อสงไขยอีกมาก แต่พอจะมาทำความดีเท่านั้นนะ 16 อสงไขยนี่บ่นว่าทนทุกข์ทรมานเหลือเกินแล้ว นี่คือความระยำของข้าพเจ้า

                ก่อนจะกลับออกมา วิญญาณพวกนี้ก็มาล้อมหน้าล้อมหลัง ก็ถามว่าต้องการอะไรไหม เขาเหล่านี้ก็บอกว่าไม่ต้องการอะไร เพราะการแผ่เมตตามาไม่ถึงที่นี่ ได้ลองอุทิศส่วนกุศลให้แล้ว ก็เหมือนโยนก้อนหินลงไปในบ่อน้ำมันดิบ ได้แต่หายสาบสูญไป วิญญาณพวกนี้ไม่สามารถรับได้ แล้วก็ไม่สนใจที่จะรับด้วย พอจะกลับ เขาก็พูดว่า ระหว่างพวกเรานั้น มีไมตรีต่อกัน หากต้องการให้ช่วยอะไรขอเพียงบอกมา พวกเรายินดีไปทำให้ทุกอย่าง (เรื่องชั่วๆทุกอย่าง...ส่วนเรื่องดีพวกนี้ไม่รับช่วยไม่รับทำ)


                หลายปีมานี้ไม่ได้แวะไปหาแล้ว แต่ก็คิดเอาไว้ว่า วันใดทีข้าฯบรรลุธรรมขั้นสุด ก็จะเดินทางไปโปรดพวกเจ้าให้พ้นจากโลกมืด เรื่องราวของโลกมืดก็ขอจบลงแต่เพียงนี้ ให้ได้รับรู้ว่า มีอีกโลกหนึ่งภพหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรแล้วก็ไม่มีภพไหนเหนือกฎของกรรมไปได้ ในที่สุดแล้ว ใครทำกรรมใดไว้ ตนก็ต้องรับผลของกรรมนั้น ไม่ว่าจะดีสุดขั้ว หรือชั่วสุดขีด จะมีก็แต่ผู้ที่อยู่เหนือดีเหนือชั่ว เหนือบุญเหนือบาป จึงจะเป็นผู้เหนือเกิดเหนือตาย จบภพสิ้นชาติแล้ว จึงจะอยู่เหนือกฎแห่งกรรมได้...

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ศาสตราวุธในโลกวิญญาณ

กรรมมันหนีไม่ได้หรอก

บทนำ นิทานขี้โม้