ราชันต์ทะเลใต้ ตอนที่ 1


ราชันทะเลใต้ ตอนที่ 1

                ประมาณปี 2548 ช่วงนั้นกำลังจะทำบุญเลี้ยงพระประจำปีที่สำนักงาน จะว่าไปแล้วสำนักงานแห่งนี้ก็มีอะไรแปลกๆพอสมควร ทั้งๆที่ตั้งอยู่กลาง กรุงเทพฯ แหล่งที่มีความเจริญมากๆ มีรถไฟฟ้ามาตั้งสถานีให้ด้วย พวกรุ่นพี่ๆชวนให้มาอยู่ มาช่วยแชร์ค่าเช่าสำนักงาน ก่อนหน้านี้พี่ๆพวกนี้มีฐานะรายได้ดีงามมาก จนภายหลังยิ่งอยู่ยิ่งหายนะ จนในที่สุดก็ต้องย้ายออกไป ทำให้เราเป็นผู้ดูแล รวมไปถึงทำบุญเลี้ยงพระ จัดไหว้ตามเทศกาล

                ครั้งแรกเลยที่ต้องจัดโต๊ะไหว้เจ้าที่ ก็ไม่รู้ว่าจะจัดจะไหว้ตรงไหนยังไง อันนี้ก็เหมือนทุกที กราบพระแล้วก็ขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ หลวงปู่หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ท่านช่วยเหลือ ก็ไปเห็นเจ้าที่ยืนอยู่ตรงหัวมุมที่ถ้าหันหน้าเข้าสำนักงานก็จะอยู่ทางซ้ายมือ ใส่ชุดเทวดา มีชฎา เครื่องประดับตกแต่งวับๆแวมๆ ข้างๆทางซ้ายมือของท่าน มีอสุรกายยืนรับใช้อยู่ตนนึง ไม่รู้ยิ้มหรือเปล่าแต่เหมือนจะสยะปาก น้ำลายยืดๆ ตัวเตี้ยๆ ล่ำๆ เสื้อไม่ใส่ นุ่งเหมือนผ้าเตี่ยวตัวเดียว ก็บอกท่านว่า ผมจะไหว้บวงสรวงท่านเจ้าที่ แต่ทีนี้ไม่รู้จะไหว้อะไรดี ท่านอยากให้ทำยังไงก็บอกมาได้เลยครับ

                ท่านก็ว่าให้จัดไหว้2ที่ อาหารมีอะไรก็ได้แล้วแต่จะจัดมา แต่ว่าห้ามไหว้หมู แล้วก็ห้ามไหว้เหล้า ถ้ามีดอกไม้ก็ให้เป็นสีเหลือง ขนมหวานก็ขอเป็นทองหยิบทองหยอดฝอยทอง ผลไม้อะไรก็ได้ ไอ้เราก็จัดไปตามนั้นแหละนะ ไม่รู้ ไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น ว่าไงมาก็แบบนั้นไป

                ก่อนจะไหว้เจ้าที่ ตามธรรมเนียมผมเองนี่จะต้องไหว้พระรัตนตรัยก่อน ก็จุดธูปบูชาพระ ระหว่างที่กำลังไหว้พระอยู่ก็ได้ยินครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า เวลาบวงสรวงจะทำให้ฝนตก เพื่อให้รู้ว่าไอ้นี่มันก็ศิษย์มีครูอยู่บ้าง พวกเราก็รู้กันอยู่ว่าหน้าที่ทำฝนตก พระพรหมท่านจะทำ ถ้าลมพัด มีแสงแว๊บๆวับๆนี่เทวดาท่านจะทำ ส่วนครูบาอาจารย์ท่านยืนอยู่เฉยๆ ก็สว่างไสวด้วยบารมีท่านมากมายอยู่แล้ว ถึงเวลาลงไปไหว้ ก็เอาเลข 9.59 น. แดดกำลังดีเชียว เปิดเทปชุมนุมเทวดาของหลวงพ่อฤษีสิครับ สบายใจดีมาก ไม่ต้องอัญเชิญเอง แล้วก็เอาใจไปจับพระรูปพระโฉมองค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงพ่อปาน หลวงพ่อฤษี ก็นึกว่า เวลาที่หลวงพ่อฤษีกล่าวคำชุมนุมเทวดา จะมีพรหมเทวดาองค์ใดที่เคยมา จะมากมายเพียงใด ขอให้ท่านได้มาในกาลนี้ เสมือนหนึ่งเมื่อครั้งหลวงพ่อฤษีท่านเคยอัญเชิญมา ง่ายดีนะครับ อาศัยมีอาจารย์ฉลาด ศิษย์โง่ๆมันก็พอเอาตัวรอดได้แหละนะ ใช้วิธีง่ายๆแบบนี้แหละครับ แต่ว่าอย่าไปมักง่ายก็แล้วกัน เพราะระหว่างบทสวดที่เปิดเทปหลวงพ่อนั้น เราก็ต้องทรงฌาณเต็มกำลังด้วย ไม่ใช่พูดคุยกัน เพ้อเจ้อ ฟุ้งซ่าน แบบนั้นมันใช้ไม่ได้น่ะครับ

                พอเสียงชุมนุมเทวดาของหลวงพ่อขึ้นมาปุ๊บ แดดเปรี้ยง ฝนตกลงมาทันที ตกมาไม่มาก ตกแบบปรอยๆ พอให้เปียกกันคนละนิดๆ แต่ว่าตกไม่หยุด จนกระทั่งบทชุมนุมเทวดาจบ ฝนก็หยุด ทีนี้ล่ะสิ ทั้งพนักงานและคนมาร่วมงานต่างพากันตกกะใจกันใหญ่ นึกว่าไอ้เจ้าพิธีมันแน่ บวงสรวงทีนึงนี่ฝนตกได้ ไอ้เราก็คิดว่าจะสวมรอยทำยืดซะหน่อย แต่ว่าข้อเท็จจริงคือหลวงพ่อและท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย ท่านสงเคราะห์ให้ ไม่ใช่ความดีหรือความสามารถของกระผมแต่อย่างใด จะยืดก็เลยยืดไม่ค่อยออก

                หลังจากไหว้เจ้าที่เสร็จ ก็จัดฮวงจุ้ยใหม่ วางกำลัง สี่ประสาน เสร็จแล้วก็มาหารือกันว่า เราจะทำบุญเลี้ยงพระ ช่วงปลายปีนี้ดีกว่า จะนิมนต์พระอาจารย์รูปไหนมาอย่างไร ระหว่างกำลังปรึกษาหารือกันอยู่ ก็เหลือบไปเห็น ท่านผู้หนึ่ง ร่างกายใหญ่โต เป็นแก้วใสเปล่งประกายเจิดจ้ามาก ขนาดว่าสมาธิห่วยๆอย่างเรานี่ยังเห็นแสงสว่างสาดมาจ้าขนาดนั้น ลอยมาอยู่ทางซ้าย เหนือหัวขึ้นไปสักเมตรกว่าๆ จะถามว่าท่านเป็นใคร ก็เปล่าประโยชน์เพราะท่านไม่บอก แต่ว่าเดาเอาเองจากการแต่งกายและวรรณะแล้ว แบบนี้ก็ต้องอยู่ในชั้นพรหม เพราะกายเป็นแก้วใส เปล่งประกายสว่างไสวไปทั่ว แบบนี้เทวดาไม่มีแน่ แต่ว่าในใจเวลานั้นมีความรู้สึกว่า ท่านผู้นี้น่ากลัวมาก มีอำนาจมาก มีฤทธิ์มาก ดีก็ดีใจหาย ร้ายก็ร้ายตายโหงทีเดียว

                นั่งดูท่านสั่งการ เรียกผีสางคางแดงละแวกนั้นมาหมด บอกว่าพวกมึงฟัง ที่นี่จะทำบุญเลี้ยงพระ พวกมึงทั้งหมด จงมาโมทนาบุญกับมันด้วย มันจะทำบุญเลี้ยงพระ วันที่.... บอกหมดเสร็จสรรพ ไอ้เราเองยังไม่รู้จะเอาวันไหนเลย ตกลงเลยเอาตามวันที่ท่านว่ามา แบบงงๆ จะขัดจะแย้ง ก็รู้สึกเกรงใจ ด้วยว่าองค์นี้ไม่ธรรมดาแน่ๆ แต่ท่านเป็นใคร ก็ผ่านไปอีก ครึ่งปี ถึงได้เจอ...

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ศาสตราวุธในโลกวิญญาณ

กรรมมันหนีไม่ได้หรอก

บทนำ นิทานขี้โม้