อาณาจักรแอตแลนติส ตอนที่ 4


อาณาจักรแอตแลนติส ตอนที่ 4

                เล่ามาถึงตอนที่แอตแลนติสถล่มจมหายไปในชั่วคืนเดียว ผีสองท่านนี้ก็หันมายิ้มให้แล้วถามว่า เวลานี้คุณเข้าใจแล้วใช่ไหมว่า ทำไมก้อนแร่นี้ พวกมนุษย์โลกในปัจจุบันถึงไม่สมควรจะได้ครอบครอง เวลานั้นผมก็เข้าใจได้ในทันทีเช่นกัน ถ้าอานุภาพมากขนาดนี้ คุณอนันต์ โทษมหันต์ กับมนุษย์โลกที่ยังมีจิตใจเลวร้ายเช่นทุกวันนี้ ถ้าได้ครอบครองก้อนแร่ที่ว่านี้แล้ว คงจะวุ่นวาย เลือดท่วมนองแผ่นดิน แล้วโลกทั้งใบก็จะพังพินาศอย่างแน่นอน

                ผมก็สงสัยต่อไปอีกว่า พวกที่ไปติดต่อค้าขายยังทวีปอื่นๆนั้น หลังจากทวีปแอตแลนติสถล่มหายไปแล้ว เขาไปทำอะไรที่ไหนยังไงต่อ รวมทั้งพวกที่ไปยังนอกโลกด้วย เป็นยังไงกันบ้าง แล้วพวกที่ตายๆไปนั้น ไปนรก หรือไปสวรรค์ หรือไปเกิดใหม่ แล้วทำไมทั้งสองท่านถึงยังไม่ยอมไปเกิด  นี่ไงครับ... เพราะแบบนี้มั๊งครับ ตอนเด็กๆผมโดนครูด่าประจำแล้วให้ฉายาว่า ไอ้มนุษย์เจ้าปัญหา สมัยอยู่กับหลวงพ่อก็โดนด่าเป็นประจำเช่นกัน คือลูกอีช่างสงสัย ไม่รู้จบรู้สิ้น คนจำพวกผมนี่เวลาฝึกกรรมฐานก็จะมีความก้าวหน้าระดับเดียวกับ หอยทากเป็นตะคิว ความจริงแล้วเรื่องการสงสัยในสิ่งต่างๆเหล่านี้ ผมก็เลิกสงสัยไปตั้งแต่อายุ 21 ปีแล้ว เพราะรู้ไปแล้วมันพ้นทุกข์ไม่ได้ ไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อยเดียว หันมาพิจารณาอาการ 32 ธาตุ 4 อสุภ10 มีประโยชน์กว่านะครับ

                แต่เนื่องจากตรงนี้เป็นนิทานขี้โม้ ก็โม้กันต่อไปก่อนละกันครับ ผีทั้งสองท่านนี่เห็นใจไอ้มนุษย์เจ้าปัญหา ไม่ใช่มนุษย์เจ้าปัญญา ก็เล่าให้ฟังว่า พวกที่ไปค้าขายทวีปอื่น พอกลับมาถึงพบว่าทุกอย่างสลายหายไปหมด เหลือแต่ท้องทะเลขุ่นๆ ปั่นป่วนด้วยคลื่นขนาดใหญ่ คนพวกนี้ก็เดินทางไปยังทวีปตะวันออก แล้วเริ่มสร้างสิ่งปลูกสร้าง โดยเอาก้อนแร่ที่พกมาด้วยติดไว้บนท่อนไม้ เหมือนไม้เท้า แต่ว่าเป็นไม้เนื้อแข็งพิเศษ ข้างในเป็นรูกลวง ด้านบนที่ต่อกับก้อนแร่จะมีขนาดใหญ่กว่าด้านปลายที่ปักลงดิน แล้วเขาก็ทำให้ดูว่า แค่เพียงกำหนดจิต ให้ก้อนแร่สว่างขึ้น ลำแสงก็จะพุ่งไปตามรูกลวงๆของด้ามไม้ลงที่พื้นดิน เขาก็เดินขีดเป็นเส้น ตีกรอบเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดสัก 2x5 เมตร เห็นจะได้ ตรงที่ไม้เท้าลากไป ก็จะเป็นร่องลึกลงไป ดูแล้วก็พอจะเข้าใจได้ว่า เขาต้องการจะเอาหินไปทำการก่อสร้างอาคารสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ แต่ว่ากรีดไปแบบนี้แล้ว จะเอาก้อนหินมาได้ยังไง?

                เห็นเขาเอาไม้เท้าที่เปล่งแสงก้อนแร่เต็มที่แล้ว กระแทกลงไปภายในกรอบที่ขีดเอาไว้ เพียงแค่นั้น ก้อนหินตรงนั้นก็หายไป กลายเป็นช่องว่างๆ ขนาด 2x5 ม. ลึก 2 เมตรกว่า จากนั้นก็เริ่มกรีดใหม่ จากขอบตัดตรงนั้นไป เป็นก้อนขนาด 2x3 เมตร จากนั้นก็ลงไปในหลุม กรีดตามแนวนอนที่ความลึกประมาณ2เมตร รอยตัดนี่เรียบคมดีมาก แต่ว่าหนักขนาดนั้นแล้วจะยกยังไง? เขาเอาตรงหัวไม้เท้า ที่เป็นก้อนแร่ เคาะเบาๆที่ก้อนหิน ก้อนหินมันก็ลอยสูงจากพื้นขึ้นมา จากนั้นก็เอามือประคองให้หินเคลื่อนที่ไป เหมือนยังกะฟองน้ำ ไร้น้ำหนัก คือ ก้อนหินขนาดหลายตัน มันลอยได้แบบนั้นเลยเหรอ? ผีสองท่านนี้คงจะรำคาญพอสมควร แกว่ามันสามารถทำได้กับหินบางชนิด ที่มีส่วนผสมของแร่ที่พวกคุณเรียกว่าเฟอร์ไลท์ และเนื้อหินจะมีความแข็งแกร่ง แบบเดียวกับหินแกรนิต ก็เอาล่ะครับ เพราะแร่ธาตุในหินที่ท่านกล่าวมาอีกหลายรายการ ผมไม่รู้จักน่ะครับ เป็นอันว่าต้องเป็นหินที่มีคุณสมบัติเฉพาะบางอย่าง จึงจะใช้กับก้อนแร่นี้ได้ด้วย ไม่ใช่ว่าหินอะไรก็ได้

                ท่านก็เล่าต่อว่า หินพวกนี้ก็เอาไปสร้างเป็นปิรามิดนี่แหละครับ เป็นที่พักด้วย ที่ประชุมด้วย เป็นจุดสังเกตให้กับพวกที่เดินทางไปนอกโลกได้มองเห็นแต่ไกล แล้วก็เดินทางกลับมาสมทบกันที่นี่ ผ่านไปหลายสิบปี ก็มาเจอกันจนครบ แล้วก็อพยพไปอยู่ดาวดวงอื่น ซึ่งผมว่าคงต้องมีคนสงสัยอย่างผมนี่แหละว่า ดาวดวงไหนบ้าง...

ก็มีดาวเสาร์ กับดาวศุกร์ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ก้อนแร่นี้มีที่ดาวดวงอื่นบ้างไหมครับ....
ท่านก็ว่าที่วงแหวนดาวเสาร์มีแร่ชนิดนี้อยู่ ที่ดาวศุกร์ก็มีด้วยเช่นกัน นี่ไปๆมาๆพวกที่เราว่าเป็นมนุษย์ต่างดาวมาสร้างปิรามิดบ้าง มนุษย์ต่างดาวเดินทางมาเยี่ยมโลกบ้าง กลายเป็นว่าชนชาวแอตแลนติสนี่หรือเปล่าที่เดินทางโดยยานบินที่ว่านี้

สุดท้ายนี้ก็ขอจบนิทานขี้โม้ เรื่องแอตแลนติส ไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน ไม่ต้องถามนะครับว่าทวีปนี้จมอยู่ตรงไหน ท่านทั้งสองห้ามไว้ว่าบอกไม่ได้ เพราะก้อนแร่ยังคงมีอยู่ ก็เอาเป็นว่าอ่านกันสนุกสนาน ไม่มีสาระอะไร ต่อไปก็อยากจะเล่าให้ฟังเรื่องเทพองค์นึง ที่ผมทั้งเคารพรักแล้วก็หวาดเกรงพอสมควร ไว้ว่างๆจะมาโม้ให้ฟังกันนะครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ศาสตราวุธในโลกวิญญาณ

กรรมมันหนีไม่ได้หรอก

บทนำ นิทานขี้โม้