พระโพธิสัตย์


พระโพธิสัตย์

                เล่ามาถึงเรื่องเจ้าแม่กวนอิมแล้ว ทำให้นึกถึงเรื่องราวของพระโพธิสัตย์ ที่ทุกวันนี้มีการพูดถึงกันมาก ว่าคนนั้นปรารถนาเป็นพระโพธิสัตย์บ้าง คนนี้ก็จะเป็นบ้าง ต่างคนต่างจะบำเพ็ญบารมี สร้างบริวารเยอะๆ ให้ทานมากๆ จะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิบ้าง มีช้างแก้ว ม้าแก้ว เกือกแก้ว เมียแก้ว ลูกแก้ว ขุนคลังแก้ว

ก็มาชวนฟังนิทานขี้โม้กันบ้างเกี่ยวกับเรื่องราวของพระโพธิสัตย์ สืบเนื่องจากในสมัยที่ยังฝึกกรรมฐานอยู่นั้น ได้ขอไปดูวันที่พระพุทธเจ้าทรงเสด็จกลับจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ กล่าวกันว่าเป็นวันเปิดโลก คือ วันนั้น พรหม เทวดา มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรก ต่างพากันได้เห็นได้ยินซึ่งกันและกันหมด เป็นอิทธิปาฏิหาริย์ที่มีเฉพาะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงได้เพียงผู้เดียว ผู้เป็นเอกองค์ธรรมของทั้งสามโลก เป็นที่เคารพสูงสุด มีความเป็นเลิศในทุกๆด้านของความดีและบุญบารมีสูงที่สุด

                เวลานั้นคนหรือสัตว์ เห็นพระพุทธองค์แล้วก็ปรารถนาจะสำเร็จมรรคผลเป็นพระพุทธเจ้าบ้าง แม้แต่พญามารก็อยากเป็นพระพุทธเจ้า ที่เป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย ก็ยังมีผู้ที่ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าด้วยเช่นกัน เห็นพระรัศมีกายทั้ง6เจิดจ้า เสด็จลงมาบนบันไดแก้ว มีพรหมเทวดา ยืนประนมมืออยู่ตลอดทาง ช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจที่สุดในเวลานั้น

                สมัยหนุ่มๆนี่เวลาผมฝึกกรรมฐานในหมวดอภิญญานี่ผมมีปัญหาเรื่องขี้สงสัย กับเรื่องที่ชอบเสือกเรื่องชาวบ้าน พอโดนด่าบ่อยๆเข้า เวลาผมจะไปเสือกเรื่องชาวบ้าน เสือกเสร็จแล้วผมก็จะเงียบๆไม่ไปเล่าให้ใครฟังครับ เพื่อป้องกันการโดนด่า ตอนหลังมานี่เลิกยุ่งเรื่องชาวบ้านแล้ว มีแต่ชาวบ้านอยากจะมาให้ยุ่งซะงั้น สมัยก่อนคนที่ฝึกกรรมฐานกันมาเก่งๆระดับครูฝึกแล้วนั้น จะกลัวผมเรื่องเจโตปริยญาน คือความสามารถในการหยั่งรู้วาระจิต เขาเหล่านั้นหาว่าผมมีความสามารถด้านนี้โดดเด่นเป็นพิเศษกว่าด้านอื่นๆ เวลาเขาจับกลุ่มคุยอะไรกัน จะไม่ให้ผมอยู่ใกล้ด้วย เพราะกลัวว่าผมจะรู้ว่าที่เขาพูดกับที่เขาคิดไม่ตรงกัน คือปากอย่างใจอย่าง แล้วผมจะสวนทะลุกลางปล้องมาทำให้เขาเหล่านั้นหน้าแหกเป็นริ้วๆเหมือนปลาเค็ม

                เวลาผมฝึกผมก็ฝึกเหมือนชาวบ้านนะครับ ฝึกแบบซื่อๆ ไม่ได้รู้เทคนิคอะไรใดๆทั้งนั้นครับ แบบที่คนฉลาดๆเขาฝึกกันนี่ผมทำไม่เป็นเลย เวลาย้อนกลับไปดูในอดีตก็ใช้อตีตังคญาน ผมก็ไม่รู้เรื่องอะไร เพราะรู้สึกเหมือนกับว่าก็เป็นทิพยจักขุญานนี่เอง พอย้อนไปดู คนและสัตว์ทั้งหลายที่พากันปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าในเวลานั้น ที่พระพุทธเจ้าเปิดโลก ก็เห็นมีจำนวนมากมายมหาศาลนับเป็นล้านๆหน่วยทีเดียว แล้วก็นึกขึ้นมาว่า แล้วพรหมเทวดามนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ที่เขาต่างพากันปรารถนาพุทธภูมินั้น เวลานั้นเขามีจิตใจคาดหวัง รู้สึกนึกคิดอย่างไร? ก็ให้เห็นขึ้นมาในใจว่า ท่านทั้งหลายเหล่านั้นมีความปรารถนาจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยหวังในคุณวิเศษที่มีในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความเป็นเลิศ ได้รับความเคารพนบนอบจาก เทวดา มาร พรหม สมณะทั้งหลาย เป็นผู้มีอิทธิที่สุด มีบุญฤทธิ์ที่สุด มีความสมบูรณ์เพียบพร้อมทุกๆประการนี้เอง

                เวลาเห็นความรู้สึกนึกคิดของท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็เห็นขึ้นมาพร้อมๆกันจำนวนแทบทั้งหมด เป็นการใช้อตีตังคญาน ควบ เจโตปริยญาน แต่ว่าเวลานั้นไม่ได้คิดหรอกนะครับว่า จะใช้อะไรบ้าง ต้องมีเทคนิคอะไรถึงจะใช้ได้พร้อมๆกัน เพราะว่าเวลาใช้แบบนี้ก็เกิดขึ้นเองทั้งนั้น ไม่ทันได้คิดหรือวางแผนอะไร แล้วก็ไม่ได้ไปสงสัยว่า ทำไมถึงรู้วาระจิตทั้งพรหม เทวดา ได้ด้วย ก็คนฝึกมามันก็ต้องรู้ได้เห็นได้ เป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่เหรอ? แล้วผมก็คิดว่าคนอื่นๆที่เขาฝึกมา ก็คงจะรู้จะเห็นหรือทำได้อย่างนี้เหมือนกันแหละ กระจอกอย่างเรายังทำได้ แสดงว่าชาวบ้านชาวเมืองที่เขาฝึกๆกันมาก็ทำได้แหละนะ...

                ต่อมาก็มาย้อนดูตัวเองว่าแล้วตอนที่เราปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า เวลานั้นมันเกิดอะไรขึ้นทำไมถึงไม่บำเพ็ญบารมีเป็นสาวกภูมิซะนะ... ก็ให้ย้อนไปถึงสมัยพระพุทธเจ้าองค์ที่สองของกัลป์นี้ ตอนนั้นปรารถนาเป็นสาวกภูมิ แต่ว่าเกิดไปเห็นเพื่อนพ้อง ญาติพี่น้อง สรรพสัตว์ทั้งหลาย ตกทุกข์ได้ยาก วนเวียนเสียใจดีใจ ร้องไห้เกลือกกลิ้งไปมาน่าเวทนามาก รู้สึกสงสารว่า โอ้หนอ...ทำไมคิดไม่ได้ว่านี่เป็นทุกข์ นี่เป็นธรรม นี่เป็นหนทางระงับดับทุกข์ การเกิดการตายของเธอทั้งหลายจะเป็นหมัน จะมีใครคอยชี้นำพวกพ้องทั้งหลายเหล่านี้ให้พ้นทุกข์ได้บ้าง หลังจากนั้นไม่นานก็ตัดสินใจว่า เราจะบำเพ็ญบารมีให้บรรลุถึงสัมมาสัมโพธิญาณ ให้หยั่งรู้ในทุกข์ของสรรพสัตว์ทั้งหลาย แล้วจะนำพาพวกพ้องทั้งหลาย รวมทั้งสรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้ได้ฝึกฝนตนจนสามารถพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ พ้นไปจากวัฏฏะเวียนว่ายตายเกิดนี้ แต่หากวันใดในภายภาคหน้า ในระหว่างที่เรายังไม่บรรลุญาณ สรรพสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ ได้พบ พระรัตนตรัย สามารถพ้นจากทุกข์ทั้งปวงไปได้ก่อน ก็จะคอยยินดีโมทนากับทุกๆสรรพชีวิตเหล่านี้

                เวลานั้นจิตใจตนเองก็ไม่ได้มีความคิดว่าจะเป็นใหญ่ จะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ไม่ได้คิดจะให้ใครมาเคารพสรรเสริญ ไม่ได้หวังลาภสักการะใดๆ หวังเพียงอย่างเดียวที่จะหาหนทางให้พวกพ้อง ญาติมิตร สรรพสัตว์ทั้งหลายที่ยังมีจักษุอันมืดบอดนี้ ได้ลืมตาขึ้น เห็นแสงพระธรรมที่จะนำเขาทั้งหลายให้พ้นฝั่งห้วงโอฆะ คิดอย่างเดียวว่าเราจะฝึกฝนตนของตนให้ยิ่ง เพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งหลาย หลังจากนั้นก็เวียนตายเวียนเกิดอีกนับครั้งไม่ถ้วน แล้วก็ส่วนใหญ่จะลงนรกมากกว่าเป็นคน ส่วนสวรรค์ พรหม ก็น้อยกว่าน้อย

                แล้วก็ย้อนกลับมาดูพรหมเทวดา มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายที่ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าในวันเปิดโลก หรือที่เรียกกันว่าพระโพธิสัตย์นั้น ว่าในกาลอนาคตแล้วจะมีผู้สำเร็จดังใจปรารถนามากน้อยเพียงใด ก็ทราบว่า เกือบทั้งสิ้นนั้นไม่สามารถบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณได้ จะต้องลาพุทธภูมิเสียสิ้น เพราะตั้งความปรารถนาไว้ผิด คิดเห็นแต่ความยิ่งใหญ่ของตนเองก่อนจะคิดเห็นถึงผู้อื่นหรือความทุกข์ของคนอื่น การบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตย์นั้น เป็นไปเพื่อละ เป็นไปเพื่อสงเคราะห์ผู้อื่น แต่การบำเพ็ญบารมีของมาร เป็นไปเพื่อลาภ ยศ สรรเสริญ ความยิ่งใหญ่ เงินทอง ผู้หญิง เป็นไปด้วยตัณหา ความทะยานอยาก เพื่อหาเอา เพื่อเรียกร้องเอา

                เวลานี้คนส่วนมากจะบอกว่าเป็นพระโพธิสัตย์ มีการถวายทานมากๆ เพื่อสร้างทานบารมี ให้เกิดชาติต่อๆไปได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ เป็นผู้มีความยิ่งใหญ่ต่างๆนานา ส่วนตัวผมเองใครจะมาหาว่าผมเป็นพระโพธิสัตย์นี่ผมไม่ยอมรับนะครับ ความเป็นพระโพธิของผมยังไม่บังเกิด ขอเป็นสัตว์โลกคนนึงพอแล้วครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ศาสตราวุธในโลกวิญญาณ

กรรมมันหนีไม่ได้หรอก

บทนำ นิทานขี้โม้