อายุยืน เป็นอมตะ
อายุยืน เป็นอมตะ
หลวงปู่คำคะนึงท่านเคยลงไปที่ถ้ำพญานาคแล้วเจอฤษีอายุเกือบ
3000 ปี อยู่ที่หน้าปากถ้ำ หลวงปู่เทพโลกอุดร มีอายุยืนมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล
โดยเฉพาะหลวงปู่ตีนโต เป็นยุคบุกเบิกเรื่องความเป็นอมตะ ภิกษุดำ รูปร่างสูงใหญ่
หลวงพ่อผมเคยพบในป่า ท่านมาสอนวิชาต่างๆให้ รวมถึงวิชาเรียกปรอท
จนแสดงฤทธิ์ต่างๆให้เห็นได้ต่อหน้าต่อตา ท่านว่าไปมาไร้ร่องรอย ในพระไตรปิฎกก็มีการบันทึกเอาไว้ว่า
หากเจริญอิทธิบาท๔ให้ยิ่งแล้ว แม้ต้องการจะทรงสังขารเอาไว้ก็จะได้นานถึง1กัปล์
ทำให้ผมสงสัยครับว่า
อิทธิบาท๔
คือ ฉันทะ ความพอใจในสิ่งที่ทำ วิริยะ ความเพียรในกิจที่ตนพอใจนั้นๆ จิตตะ
ความมีจิตใจจดจ่อกับสิ่งที่ตนเพียรกระทำ วิมังสา
ความพิจารณาใคร่ครวญในสิ่งที่ทำซึ่งหมายถึงการคิดเพื่อพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นไป
ก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป ถ้าบอกว่าอิทธิบาท๔ เป็นธรรมที่เหมาะกับคนทำงาน
จะช่วยให้หน้าที่การงานเจริญก้าวหน้า อันนี้ผมเชื่อ เพราะลองพิสูจน์แล้วได้ผลดี
หรือถ้าจะบอกว่า เป็นธรรมที่จะช่วยให้นักปฏิบัติธรรมมีความก้าวหน้าในการเจริญภาวนา
อันนี้ผมก็เชื่อ เพราะผมก็เคยลองมาแล้วเหมือนกัน แต่พอบอกว่า
จะทำให้ชีวิตยืนยาวได้ อันนี้ไม่ใช่ว่าเชื่อ หรือว่า ไม่เชื่อนะครับ
แต่ผมว่าไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกันเลย
หลวงปู่มั่น
หลวงปู่เสาร์ สมเด็จฯโต หลวงพ่อพรหม หลวงพ่อเดิม หลวงพ่อเงิน
และครูบาอาจารย์ที่ทรงคุณธรรมขั้นสูงมากมาย ทำไมไม่เจริญอิทธิบาท๔
เพื่อทรงสังขารให้ได้สักหลายร้อยปีล่ะครับ เพื่อเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า การมีอายุยืน
เป็นอมตะ สามารถทำได้จริงจากการเจริญอิทธิบาท๔ ทำไมเรื่องการมีอายุยืนหลายร้อยหลายพันปี
จึงเกิดขึ้นกับหมู่คณะของหลวงปู่เทพโลกอุดร เท่านั้น
แล้วทำไมฤษีบางตนถึงสามารถทำได้ด้วย ทั้งๆที่ฤษีเหล่านั้นก็ไม่ได้รู้จักอิทธิบาท๔
แต่อย่างใด
จากความสงสัยจึงเริ่มต้นค้นคว้าเพราะไม่กล้าถามครูบาอาจารย์
เกรงว่าจะโดนด่าเปล่า ไปเริ่มต้นค้นคว้าเอง ก็มีเรื่องเล่าว่า
เหลาจื้อผู้ก่อตั้งลัทธิเต๋า เป็นบรรณรักษ์ห้องสมุด เขียนบทบัญญัติเต๋าเอาไว้
ชื่อว่า เต๋าเต๊อะจิง ลัทธินี้เกิดก่อนพุทธศาสนา 500-600 ปี เล่ากันว่า
เหลาจื้อบรรลุเต๋า มีอายุยืนยาว
ก็ยาวนานขนาดว่าได้เจอกับขงจื้อและได้แนะนำขงจื้อในหลักแห่งวิชาเต๋า
ปรมาจารย์จางซานฟง
ผู้ก่อตั้งสำนักบู๊ตึ๋งก็ได้ศึกษาคำสอนของเต๋าจนบั้นปลายได้บรรลุถึงแก่นแท้ของวิชา
มีอายุยืนมากกว่า 150 ปี ผ่านไป2รัชกาล ก็ยังมีคนพบเห็นท่านว่าร่างกายแข็งแรง
ใบหน้าแดงเปล่งปลั่ง คล้ายดั่งเซียน แม้กระทั่งปรมาจารย์ตั๊กม้อภายหลังจากที่มรณภาพไปแล้ว
มีคนไปเปิดหีบศพท่านก็พบแต่รองเท้าข้างเดียว มีพยานผู้เห็นเหตุการณ์เวลานั้น
มาให้ปากคำว่า เห็นหลวงจีนใส่รองเท้าข้างเดียว เดินสวนทางผ่านไป จนมีคนเชื่อกันว่า
ปรมจารย์ตั๊กม้อท่านไม่ได้มรณภาพด้วยการวางยาพิษ ท่านแกล้งมรณภาพ
ประมาณปี
2549 ผมได้ข่าวจากรุ่นพี่ท่านนึงเล่าถึงหลวงปู่น้อย ที่ถ้ำภูกำพร้า
อยู่ในพื้นที่สีชมพูคือที่คอมมิวนิสต์เก่า รอยต่อระหว่างมุกดาหาร มหาสารคาม
ร้อยเอ็ด ท่านเป็นพระจากฝั่งลาว หนีสงครามมาจากทางฝั่งลาว ตั้งแต่สมัยก่อนโน้น
มาอาศัยอยู่ที่ภูกำพร้านานมากแล้ว ขนาดว่าตอนที่เจ้าลาวยังเป็นเด็ก
ตามเสด็จพ่อไปกราบหลวงปู่น้อย ตัวเจ้าลาวเวลานั้นอายุได้ 7-8 ขวบ
ตามพ่อไปหาหลวงปู่น้อย ซึ่งแก่มากแล้ว จนกระทั่งเจ้าลาวอายุได้ 70 ปี ไปกราบหลวงปู่น้อย
หลวงปู่น้อยก็แก่มากแล้วเช่นเดิม เคยมีคนถามถึงอายุท่าน ท่านก็ว่าจำไม่ได้แล้ว
จากที่คนเฒ่าคนแก่เล่าให้ฟังว่า
ตั้งแต่เด็กๆเล็กๆเกิดมาก็เห็นหลวงปู่น้อยอยู่ก่อนแล้ว ท่านก็แก่มากแล้ว
จนผู้เฒ่าเหล่านี้ 80-90 ปีแก่ตายไปแล้ว หลวงปู่น้อยก็ยังแก่อยู่เหมือนเดิม พอนับไล่ๆอายุไปดูแล้ว
ก็เห็นว่าหลวงปู่น้อยน่าจะอายุได้ 270-280 ปี เห็นจะได้ ท่านเล่าว่า ทุกๆอายุ 120
ปี เล็บจะงอกขึ้นมาใหม่ ฟันชุดใหม่ก็จะงอกขึ้นมา
เล่าความจบแล้วรุ่นพี่ก็งัดเอาตะกรุดที่หลวงปู่น้อยทำให้เจ้าลาวมาให้ดูว่านี่ไง
เครื่องรางที่หลวงปู่น้อยอายุ 200 กว่าปีทำไว้ให้
หลังจากนั้นผมโทรนัดเพื่อนพ้องน้องพี่ทางแถบอำนาจเจริญว่าเราไปค้นหากัน
เรื่องแบบนี้คนอื่นเขาว่า “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” ส่วนตัวผมเหรอ ถ้าไม่เชื่อผมต้องไปพิสูจน์ครับ
ถ้าพิสูจน์แล้วว่าจริงก็ยอมรับครับ ไม่ได้ดื้อแพ่งอะไร ถ้าพิสูจน์แล้วไม่จริง ก็ไม่ได้ลบหลู่อะไรเพราะไม่รู้จะลบหลู่ไปทำไม
ลบหลู่แล้วได้อะไรขึ้นมา
เคลื่อนขบวนกันไปหาหลวงปู่น้อยกัน
ตั่งแต่เช้า ตระเวนหาถ้ำภูกำพร้าไปเรื่อยๆจนบ่ายคล้อยแทบไม่มีหวังจะได้เจอ
(ยาวไปแล้วก็ต่อตอนหน้าดีกว่านะ)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น