อายุยืน เป็นอมตะ(ตอนที่2)
อายุยืน เป็นอมตะ(ตอนที่2)
พวกเราเดินทางกันไปถึงถ้ำภูกำพร้า
เป็นเวลาบ่ายแก่ๆแล้ว ไปถึงก็เห็นพระภิกษุชราภาพ นั่งเอนๆอยู่บนแคร่ไม้ไผ่
ลูกศิษย์บอกว่าท่านพึ่งจะมาถึงก่อนหน้าพวกเราได้สัก 3 นาที
จากการสังเกตหลวงปู่ท่านร่างเล็กๆ แข็งแรง ฟันแท้ๆใหม่มาก เหมือนฟันวัยรุ่น
เล็บมือยังดูใหม่ มีชีวิตชีวา มากกว่าเล็บข้าพเจ้าเสียอีก
แต่ว่าหนังเหี่ยวย่นไปหมดทั้งตัว เวลาหลวงปู่เอามือท้าวที่ศีรษะ
หนังที่ศีรษะจะลู่ไปตามมือ ยับย่น แล้วพอหลวงปู่ปล่อยมือ
หนังที่ยับย่นก็ไม่เด้งกลับมาที่เดิม ยังคงยับย่นอยู่แบบนั้นตามแรงมือ ในคณะเราก็มีคนขอเข้าไปนวดหลวงปู่ นวดแข้งนวดขา
หลวงปู่ท่านก็ไม่ว่าอะไร แล้วหลวงปู่ก็พูดออกมา แต่ว่าพวกเราฟังกันไม่ออก
เพราะเป็นภาษาไทลื้อ พวกที่ไปเป็นคนอีสานก็ยังฟังไม่รู้เรื่อง ก็ได้ทำบุญกับหลวงปู่
สักพักก็กราบลากลับ เพราะต้องการให้หลวงปู่ได้พักผ่อน หลังจากกลับมาไม่นานก็ได้ข่าวจากหนังสือพิมพ์ว่าหลวงปู่มรณภาพแล้ว
คณะเราก็แห่กันไปกราบสังขาร พอไปถึงก็พบหลวงปู่ยังนั่งรับแขกอยู่บนกุฏิ
ไปกราบท่านและได้เหรียญจากหลวงปู่กันมาคนละเหรียญ เป็นอันว่าข่าวหลอก
หรือยังไงนี่ก็ไม่แน่ใจ เพราะหลังจากกลับมาไม่กี่วันก็ได้ข่าวจากทางวัดว่าท่านมรณะภาพแล้ว
ย้อนกลับไปอีกทีก็เห็นว่าหลวงปู่มรณภาพแล้วจริงๆ ทิ้งปริศนาการเป็นผู้มีอายุยืน
ซึ่งถ้าเชื่อตามลูกศิษย์ในวัย 40 กว่าปีนั้นว่า หลวงปู่อายุเพียงแค่
220-240ปีเท่านั้น หรือจะเชื่อจากเจ้าลาวที่อายุ 70 กว่าปีแล้วว่า หลวงปู่มีอายุ
270-280 ปี ไม่ว่าจะฟังจากใคร อายุขัยแบบนี้ก็ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเหมือนกัน
เด
เป็นภาษาไหหลำ หมายถึง อาปา หรือเตี่ย ในภาษาแต้จิ๋ว ตอนที่ผมไปพบอายุ 72 ปีแล้ว
แต่ว่าหน้าตาเหมือนคนอายุ 50 ต้นๆเท่านั้น แถมยังเอาผลตรวจเลือดมาให้ดูว่าเซลล์ในร่างกายมีอายุเท่ากับคนอายุ
30 ปี ถ้าไม่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนขาเดี้ยงไปข้างนึงแล้วล่ะก็ เล่าลือกันว่า
เด สามารถมีเพศสัมพันธุ์ได้ทุกวัน เช้าครั้ง เย็นหน...... เด มีเมีย 20 กว่าคน
แต่ที่นับว่ามีลูกด้วยกันก็มีไม่กี่คน ที่น่าแปลกใจก็คือ ภรรยาของเด อายุ 60
แต่ดูแก่ชราเหมือนคนอายุ 70กว่า เคล็ดลับที่ทำให้เด มีร่างกายที่อ่อนกว่าวัย
เป็นความลับที่ไม่เคยบอกเล่าให้ใครฟังมาก่อน จึงเป็นครั้งแรกที่เล่าให้ผมฟัง นับเป็นการพบกับผู้ที่สามารถใช้วิชามารดูดพลังชีวิตได้ตัวเป็นๆ
ซึ่งวิชานี้หายสาบสูญไปกว่า 300 ปี
คนสุดท้ายที่เคยได้ยินว่าสามารถใช้วิธีการนี้ได้ผล คือ พระนางซูสีไทเฮา
ที่เล่ากันว่า เมื่อสมัยพระนางซูสีไทเฮาอายุ 60 ปี ยังคงมีหน้าตา ผิวพรรณ
เปล่งปลั่ง เหมือนผู้หญิงอายุ 27 ปีเท่านั้น เล่ากันว่า
ชายที่พระนางซูสีไทเฮาทรงโปรดปรานมากที่สุดคนหนึ่ง ถึงกับแต่งตั้งตำแหน่งให้เป็น
แท่งหยกพันเกลียว เนื่องจากองคชาติมีขนาดใหญ่
และแข็งแรงพอใจใส่ล้อเกวียนเข้าไปแล้วหมุนได้ หลังจากนั้น 6
เดือนชายผู้นี้ก็เสียชีวิตลง อันนี้ก็อย่าลืมนะครับว่า เป็นนิทานขี้โม้
ท่านผู้อ่านอย่าถือเป็นจริงเป็นจังนะครับ คิดว่าอ่านกันเอาสนุกสนาน เพราะผู้เขียนก็เขียนโม้ไปเรื่อยเปื่อย
ไม่มีสาระอะไร
ย้อนกลับมาถึงความลับของการมีร่างกายที่แข็งแรง
อ่อนกว่าวัย แม้ลงไปถึงระดับเซลล์ที่โรงพยาบาลเจาะเลือดไปทดสอบ
มีตรวจร่างกายอย่างละเอียด อันน่าทึ่งมาก
เด เล่าว่าสมัยนั้นตอนยังวัยรุ่นตอนปลาย ที่บ้านเป็นโรงสีข้าว มีคนงานเยอะ
ทั้งผู้หญิงผู้ชาย ก็มีผู้หญิงคนหนึ่ง เที่ยวเอาผู้ชายมาร่วมเพศด้วย
ผู้ชายทั้งโรงสีข้าวเสร็จนางหมด
ทุกคนยอมแพ้ว่าไม่สามารถตอบสนองให้นางผู้นี้อิ่มไปกับรสกามตัณหาได้
จนหมดชายหนุ่มทั้งโรงสีแล้วก็มาเอาอาแปะไปมีเพศสัมพันธุ์ด้วยกันที่ด้านหลังโรงสี มีรั้วสังกะสีบังเอาไว้
แต่ก็มีรูให้แอบดูอาแปะกับหญิงนางนี้ เสียงหญิงนางนี้ร้องครวญครางอยู่นานจนสงบลง
อาแปะเดินออกมา ยิ้มๆ หนุ่มๆทั้งโรงสีต่างพากันสงสัยว่าอาแปะมีเคล็ดลับทีเด็ดยังไง
ถามยังไง อาแปะก็ไม่ยอมบอก เด เข้าไปซักถาม ก็ไม่ยอมบอกเช่นกัน จนถึงวันสารทจีน เด
เอาเหล้าไปมอมอาแปะ 2 ขวด พอเมาๆก็เล่าถึงเคล็ดลับให้ฟังว่า
ที่บริเวณฝีเย็บของผู้ชาย จะมีเส้นประสาทอยู่สามเส้น เส้นตรงกลาง
ถ้ากดเอาไว้จะช่วยให้ชะลอการหลั่ง ลื้อลองฝึกดูบ่อยๆก็จะทำเป็นเอง
เมื่อเอาวิธีนี้ไปใช้ ตอนกดเพื่อให้ชะลอการหลั่ง หลังจากปล่อยจุดที่กดเอาไว้ ปรากฏว่ามีแรงดูดกลับเข้าสู่ท้องน้อย
โดยไม่รู้ว่ามันคืออะไร จนกระทั่งเวลาผ่านไป 20 กว่าปี จึงเริ่มสังเกตว่า
ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธุ์ด้วยแต่ละคนนั้น แก่ก่อนวัยไปมาก
ส่วนตัวเองกลับดูหนุ่มขึ้น และร่างกายแข็งแรงขึ้น แม้ว่าจะมีเพศสัมพันธุ์ทุกวัน
ก็ไม่อ่อนเพลีย วิธีการนี้มีบันทึกอยู่ในคัมภีร์เต๋า
ในคัมภีร์เต๋า
บันทึกถึงวิธีการดูดพลังชีวิตจากเพศตรงข้ามได้ มีทั้งผู้ชายดูดจากผู้หญิง
และผู้หญิงดูดจากผู้ชาย นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าถึงชาวเขาทางตอนเหนือของจีน
ผู้หญิงชาวเขาอายุ 80-90ปีแล้ว แต่รูปร่างหน้าตายังเหมือนสาวแรกรุ่น
มีการเล่าถึงแมลงชนิดหนึ่ง ที่เรียกกันว่า กู่ รูปร่างคล้ายหนอนแต่มีปีกบินได้
หญิงชาวเขาที่เลี้ยงกู่ จะใช้กู่ไปดูดพลังชีวิตผู้ชายมาถ่ายทอดให้กับตนเองได้
และผู้หญิงเหล่านี้ก็ใช้วิธีการร่วมรักหลับนอนกับผู้ชาย
เพื่อดูดเอาพลังชีวิตในระหว่างการมีเพศสัมพันธุ์เอาไว้ทั้งหมด เล่ากันว่า
มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ ปรมาจารย์เตียซำฮง ผู้ก่อตั้งสำนักบู๊ตึ๊ง เดินทางขึ้นไปทางเหนือ
ได้พบเห็นวิชาการเลี้ยงกู่ และการใช้กู่ในการดูดพลังชีวิตของอีกฝ่ายหนึ่งมาถ่ายทอดให้ตนเอง
รวมถึงวิธีของหญิงชาวเขาที่ร่วมหลับนอนกับชายเพื่อดูดพลังชีวิต ท่านได้ครุ่นคิดอยู่นาน
เห็นว่าวิชานี้แม้จะช่วยให้ชีวิตยืนยาว ร่างกายยังคงเป็นหนุ่มสาวได้
แต่ว่าอำมหิตชั่วร้ายเกินไป เมื่อเดินทางกลับมาที่สำนักบู๊ตึ๊งแล้ว
จึงได้เก็บตัวคิดค้นวิชาเลียนแบบการดูดพลังชีวิตของหญิงชาวเขาขึ้น
ด้วยการสูดเอาพลังชีวิตจากธรรมชาติ จากต้นไม้ ใบหญ้า ภูเขา น้ำตก แยกออกเป็น หยิน
และ หยาง สูดปราณหรือพลังชีวิตนี้รวมเข้าที่จุดตังชั้ง หรือจุด ตันเถียน
ที่อยู่ใต้สะดือลงไป 2 นิ้ว ลึกลงไป 3 นิ้ว จากนั้นจึงโคจรลมปราณผ่านก้นกบ
ผ่านไขกระดูกสันหลัง วนผ่านท้ายทอย ผ่านศีรษะ ใช้ลิ้นดันเพดานปากเอาไว้
ปราณก็ผ่านจากลิ้น ลงสู่กลางอกแล้วกลับไปบรรจบที่จุดตังชั้งอีกครั้ง
เมื่อทะลวงผ่านไขกระดูกได้แล้ว ก็เดินปราณทะลวงจุดชีพจรต่างๆผ่านกล้ามเนื้อ
ทั่วร่างกาย จนเป็นที่มาของจุดต่างๆ ที่แพทย์จีนใช้ฝังเข็ม
เพื่อทะลวงปราณที่อุดตันในจุดชีพจรนั้นๆ ให้พลังชีวิตเดินผ่านได้อย่างสะดวก
เมื่อฝึกจนชำนาญแล้ว จะสามารถบังคับปราณให้พุ่งออกทางนิ้วมือ ฝ่ามือ
หรือหมุนวนอยู่รอบๆแขนได้ สามารถจะใช้พลังปราณนี้เพื่อผลักออก
หรือเพื่อดึงเข้าก็ทำได้ จนเกิดเป็นวิชาไหมฟ้า หรือวิชารังไหม วิชานี้ไม่ได้เป็นอย่างที่ฮุ้นปวยเอี๊ยง
ใช้สู้กับต๊กโกวบ๊อเต็กแต่อย่างใด แต่เป็นการปล่อยปราณที่หมุนเป็นเกลียวจากแขนเราไปพันเข้ากับแขนของฝ่ายตรงข้าม
แล้วดึงหรือกระชากให้คู่ต่อสู้ต้องแถมาหาหมัดหรือเข่าของเราได้ วิชาปราณนี้
ปรมาจารย์เตียซำฮง ถ่ายทอดให้ลูกศิษย์ผู้ชาย 5 คน กฎมีว่า
ถ่ายทอดผู้ชายไม่ถ่ายทอดผู้หญิง ถ่ายทอดคนในครอบครัวไม่ถ่ายทอดคนนอกครอบครัว ภาษาจีนเรียกว่า
โจ่วท้วง มี 10 ถ่ายทอด 9 อีก 1 เอาไว้กันมันทรยศหักหลัง
หลานศิษย์ที่ได้รับการถ่ายทอด จนมีชื่อเสียงในเวลาต่อมาคือ เตียบ่อกี้
ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ ขี้โรค มาตั้งแต่เด็ก
ผ่านกาลเวลาอันยาวนานและการถ่ายทอดที่จำกัดเฉพาะผู้ชายในครอบครัว ถ่ายทอดโดยวาจา
ห้ามจดบันทึก ทำให้ค่อยๆหายสาบสูญไปเรื่อยๆ จวบจนกระทั่งผมได้พบกับพี่ชายคนหนึ่ง
คนที่สอนผมฝึกวิชาลมปราณแลกกับที่ผมสอนการเจริญสติในมหาสติปัฏฐาน๔
พี่ผู้ประสบโชคในคราเคราะห์ ได้ค้นพบวิชาเดินลมปราณ จากการไม่หลับนอนเป็นเวลา 5 ปี
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น