อายุยืน เป็นอมตะ ตอนที่3


อายุยืน เป็นอมตะ ตอนที่3

                นิทานขี้โม้นี่ก็โม้กันกระจัดกระจายทีเดียวเชียวนะครับ ท่านผู้อ่านก็อย่าได้ถือเอาเป็นจริงเป็นจัง เพราะผู้เล่าเป็นคนบ้าๆบอๆ เฮฮา สนุกสนาน จะเล่าลงยูทูปก็อายเสียงตัวเอง เท่าที่พิมพ์เอาไว้แบบนี้ เวลามาอ่านเองยังขำตัวเองอยู่เลยครับ แต่ก็จะบอกท่านทั้งหลายว่า การเจริญอิทธิบาท ๔ เป็นเหตุให้มีอายุยืนได้นั้น ข้อที่ ๑ ฉันทะ คือความพอใจในด้านอายุยืน ท่านจะเห็นว่า ผมนี่ก็ได้เริ่มต้นฉันทะ เอาไว้แล้วเหมือนกัน

                พี่ท่านหนึ่งเอาประสบการณ์ประหลาดมาเล่าให้ฟัง บอกว่าไม่ได้นอนหลับมา ๕ ปี ขนาดว่าโหนรถเมล์มาทำงานยืนหลับบนรถเมล์ก็ยังทำไม่ได้ เวลานอนหลับตอนกลางคืน ตามันไม่ยอมหลับ พอฝืนหลับตา ก็จะมีคล้ายๆแส้ มาฟาดใส่ที่ลำตัว สะดุ้งตื่นด้วยความเจ็บปวดทรมาน นอนตัวงอ บางวันยืนรดน้ำต้นไม้จะหลับก็มีแส้มาฟาดใส่ ถึงกับทรุดลงไปนั่งงอตัวอยู่กับพื้นพักใหญ่ๆ แส้ที่ว่านี้ไม่เหมือนแส้ทั่วไป เป็นลำแสงสว่าง ตวัดสะบัดได้ ถ้าฟาดลงที่ลำตัว จะเจ็บมาก หากจะว่าเป็นอุปาทานหรือเป็นอาการทางจิต(เป็นบ้าหรือเปล่า) ก็ปรากฏว่าพอถอดเสื้อออกดูมันเป็นรอยแดงแบบโดนฟาดด้วยแส้จริงๆ

                การนอนไม่หลับนับเดือนนับปีนี่มันทรมานมากจริงๆ กลางคืนทั้งคืนไม่รู้จะทำอะไรก็เลยเอาพระไตรปิฏกขึ้นมาอ่าน อ่านไปอ่านมา ก็นั่งเข้าสมาธิไปด้วย เพราะอ่านไปก็ไม่หลับอยู่ดี พอนั่งเข้าสมาธิไปก็เห็นพระภิกษุสงฆ์รูปหนึ่ง มีรูปร่างสมสัดส่วน สวยงาม สง่า มีแสงสีทองเปล่งออกมาจากจีวร น่าเคารพเลื่อมใสมาก มาแนะนำในการฝึกสมาธิให้กับพี่ท่านนี้ พระภิกษุสงฆ์รูปนี้จะชื่ออะไรก็ไม่ทราบได้ กราบเรียนถามแล้วท่านก็ไม่ตอบ จึงได้เรียกท่านว่า “พระทองคำ” ตลอดระยะเวลา๕ปีที่ได้พบเห็นพระทองคำในนิมิต ได้รับคำแนะนำต่างๆหลายประการ แต่พี่ท่านไม่เล่าให้ผมฟังว่ามีอะไรบ้าง มาเล่าเรื่องต่อจากนั้นคือระหว่างที่กำลังนั่งดูทีวีอยู่ลำพังคนเดียว ก็มีความรู้สึกว่า มีก้อนเล็กอุ่นๆ ขนาดเท่าเมล็ดถั่วดำ อยู่ที่ปลายกระดูกสันหลังตรงแถวก้นกบ รู้สึกว่าเต้นตุ๊บๆอยู่ตรงนั้น เหมือนจะเคลื่อนที่ได้ พี่ท่านนี้นึกสนุกขึ้นมาจึงลอบเคลื่อนขึ้นมาตามกระดูกสันหลัง ก็ปรากฏว่าเคลื่อนขึ้นมาตามกระดูกสันหลังได้ด้วย จนมาถึงกลางหลัง ก็เกิดติดขัด เคลื่อนที่ต่อไม่ได้ จึงได้พยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ผ่อนออกยาวๆ แล้วในที่สุดก้อนอุ่นๆนี้ก็ผ่านจุดที่กลางหลังไปได้ เคลื่อนที่เรื่อยไปจนมาติดที่ท้ายทอย ก็ทำวิธีเดิมอีกนั่นแหละ แต่ทีนี้ดันยังไงก็ไม่ยอมผ่าน ก็เลยเปลี่ยนมาเป็นการดึง ด้านนึงดันด้านนึงดึงก็ผ่านไปได้ ผ่านหลังหัว อ้อมมาที่จมูก ผ่านเพดานปาก มาที่ปลายลิ้น ตอนนี้คือลิ้นต้องดันเพดานปากเอาไว้ ผ่านลำคอ ลงมาที่กลางอก ผ่านท้องน้อย ผ่านหัวเหน่า เรื่อยไปจนผ่านฝีเย็บ มาบรรจบกลับที่จุดปลายกระดูกก้นกบอีกครั้ง ใช้เวลาประมาณ 2 เดือน

                ฝึกลมหายใจ         คนปกติเวลาหายใจเข้าท้องจะพองออก หายใจออกท้องจะยุบลง เป็นไปโดยอัตโนมัติ แต่ถ้าเริ่มสังเกตจะเห็นว่า ปอดจะยุบเวลาหายใจเข้าในขณะที่ท้องพองออก ซึ่งเรื่องแบบนี้คนโบราณรู้กันมาก่อนนานแล้ว นิยายกำลังภายในเรื่องมังกรหยก ตอนที่จิวแป๊ะทง ติดอยู่ที่เกาะดอกท้อ ได้เจอก๊วยเจ๋งที่พกคัมภีร์เก้าอิมติดตัวมาด้วย เฒ่าทารกจิวแปะทงอ่านคัมภีร์เก้าอิมแล้วสอนให้ก๊วยเจ๋งฝึกตาม เริ่มต้นให้โคจรลมปราณย้อนกลับ ตอนนั้นคนเขียนบอกว่าจิวแป๊ะทงหายใจเข้ารูปจมูกข้างนึงหายใจออกใช้รูจมูกอีกข้างหนึ่ง ส่วนอาวเอี๊ยงฮงฝึกวิชาพลังคางคก โคจรลมปราณย้อนกลับก็เอาหัวอยู่ล่างเอาเท้าอยู่บนกลับตาลปัตรกัน แต่สูดลมหายใจเข้าทางจมูกหายใจออกทางปาก เลียนแบบท่าร้องของคางคก  พี่ท่านนี้บอกว่าการโคจรลมปราณย้อนกลับไม่ใช่แบบนั้นครับ วิธีการโคจรย้อนกลับ คือการสูดลมหายใจเข้าให้ปอดพองออก หายใจเข้าทางจมูก แล้วผ่อนลมหายใจออกทางปากปอดก็ยุบตามลงไป บางครั้งจะมีเสียงตอนสูดลมหายใจเข้า คนจีนจะออกเสียงว่า “เฮิง” หายใจออกทางปากจะออกเสียงว่า “ฮา” หรือคนไทยจะออกเสียงว่า ฮ่าแบบอาการถอนหายใจ การสูดปราณเป็นการสูดพลังเข้าสู่ร่างกาย ปราณไม่ใช่อากาศ แต่ก็ปะปนอยู่ในอากาศ ปราณมีมากในเวลาเช้ามืด ตามชายทุ่ง ชายป่า ชายทะเล ที่เราๆทั้งหลายเรียกว่า ไปสูดโอโซนกัน แต่ปราณก็ไม่ใช่โอโซนนะครับ โอโซนประกอบด้วยออกซิเจน 3 โมเลกุล เป็นไอโซโทปของออกซิเจน ที่ไม่มีความเสถียร อยู่ในอากาศได้ไม่เกิน 30 วินาทีก็สลายไปหมดแล้ว เรานิยมใช้โอโซนในการอบเพื่อฆ่าเชื้อโรค ดังนั้นจะว่าไปแล้วโอโซนนั้นจัดว่ามีความเป็นพิษด้วยนะครับ ถ้าอยู่ในเมืองอยากสูดโอโซนบ้าง ก็ลองสังเกตดูครับ บริเวณที่มีสายไฟฟ้าแรงสูง กลางคืนจะได้ยินเสียง หึ่งๆๆๆ และมีประกายสีม่วงอ่อนๆบริเวณรอยต่อระหว่างสายไฟแรงสูงกับอุปกรณ์แรงสูง พวกหม้อแปลงไฟฟ้า เราเรียกปรากฎการณ์นี้ว่า โคโรน่า เสียงที่หึ่งๆนี้ เรียกว่า ฮีสซิ่ง เป็นเสียงเหมือนเสียงฮัมของผึ้ง สมัยเรียนมหาวิทยาลัย อาจารย์ก็เล่ามาประมาณนี้ครับ ท่านที่ไปยืนสูดอยู่ใต้สายไฟฟ้าแรงสูงแบบนี้ จะได้กลิ่นคาวๆหน่อยๆ นั่นคือกลิ่นของโอโซนนั่นเองครับ

                ฉันทะคือความพอใจในสิ่งที่จะทำ วิริยะคือความพากเพียรมุมานะพยายามในการทำสิ่งที่หวังที่ตั้งใจเอาไว้ นั่นคือการฝึกเพื่อค้นหาชีวิตที่ยืนยาว นัดแลกเปลี่ยนวิชากัน เหมือนกับหนังจีนสมัยก่อนทีเดียวเชียวนะแก พี่ท่านนี้ให้ผมนั่งขัดสมาธิอยู่กับเบาะรองนั่ง แล้วบอกให้สูดลมหายใจเข้าจนสุด ดึงเอาพลังปราณจากภายนอกรวมลงสู่ปลายกระดูกสันหลังบริเวณก้นกบ กลั้นลมหายใจเอาไว้สักพัก แล้วค่อยผ่อนออกมาช้าๆ เอาสมาธิไปจดจ่ออยู่ที่ตรงปลายกระดูกก้นกบ เอาพลังรวมไปไว้ที่จุดนั้นเพียงจุดเดียว จนเกิดความรู้สึกอุ่นๆเป็นเหมือนก้อนพลังงานเล็กๆเกิดขึ้น นั่งทำไปสักสิบกว่าครั้งก็เริ่มรู้สึกว่ามีพลังงานอุ่นๆเกิดขึ้นที่ปลายกระดูกก้นกบจริงๆด้วยอ่ะ พี่ท่านก็บอกให้ลองเคลื่อนก้อนอุ่นๆนี้ขึ้นมาตามไขกระดูกสันหลัง ผมลองทำตามมันก็เคลื่อนที่ได้จริงๆ โดยการเอาจิตไปจับไว้ที่ก้อนอุ่นๆนี่แล้วกำหนดจิตให้มันเคลื่อนที่ผ่านขึ้นมาอย่างช้าๆ สักพักก็มาสะดุดติดอยู่ที่จุดๆหนึ่ง ต่ำกว่ากลางหลังลงมาสักคืบหนึ่ง พี่ท่านนี้เดินอ้อมเข้ามาทางด้านหลังแล้วเอานิ้วชี้จิ้มบอกว่า จุดนี้ใช่ไหม มันก็ใช่จริงๆด้วยนิ แสดงว่าเราไม่ได้บ้าคนเดียวแล้ว พี่ท่านนี้ก็บอกว่าคุณฝึกกสิณมา ลองใช้กสิณดันให้ทะลุจุดชีพจรตรงนี้ดูสิ เร็วกว่าความคิดคือกสิณแสงสว่างที่จับขึ้นมาเข้าฌาน๔ ดันทะลุออกไปทันที แล้วก็มาติดที่กลางหลังต่อ ทีนี้ดันยังไงก็ดันไม่ไป เหงื่อเริ่มซึมๆ ลองดึงด้วยดันไปด้วย กว่าจะผ่านก็ได้เหงื่อมาหน่อยๆ แล้วก็ดันผ่านจุดชีพจรต่างๆตลอดรายทางไปจนบรรจบมาครบรอบที่กระดูกก้นกบอีกครั้งหนึ่ง พอทำได้จบครบแบบนี้แล้วก็เปลี่ยนกันบ้าง เป็นผมแนะนำวิธีการเจริญสติ ในหมวดมหาสติปัฏฐาน๔ ให้คนที่ไม่เคยอ่านพระไตรปิฎกมาสอนคนที่อ่านพระไตรปิฎกจบแล้วเนี่ยนะ ท่านสงสัยว่าผมอธิบายเรื่องนี้ไว้อย่างไรก็หาอ่านได้ในกระทู้หลงทางหลงธรรม ที่บันทึกประสบการณ์ความเห็นในการเจริญสติเอาไว้ทั้ง๔ตอนครับ

http://samathan999.blogspot.com/2018/04/blog-post.html?m=1
http://samathan999.blogspot.com/2018/04/blog-post_24.html?m=1

                หลังจากได้ทดลองฝึกวิชาพลังภายในการโคจรลมปราณมาแล้วก็ลองฝึกลองใช้อยู่เรื่อยๆ ขับรถเดินทางไกลจากที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ก็กลายเป็นว่าระหว่างขับรถสูดปราณไปด้วย ทำสมาธิเจริญสติไปด้วยพร้อมๆกัน ผลก็คือร่างกายสดชื่นแจ่มใสไม่อ่อนเพลีย มันน่าทึ่งจริงๆเชียว เวลาขับรถทางไกลตอนกลางคืนกว่าจะไปถึงที่หมายก็เช้ามืด ผมก็ออกมายืนสูดปราณกับบรรยากาศสดชื่นของชนบท ทำสมาธิ เจริญสติ สัมปชัญญะ ไปด้วยพร้อมๆกัน ก็พบว่า นอกจากปราณจะไหลเข้าทางการสูดลมหายใจแล้ว ผมยังสามารถดึงดูดปราณผ่านเข้ามาทางผิวหนังได้ทั่วทั้งร่างกาย ทำให้อดนึกถึงชอลิ้วเฮียง ที่หายใจทางจมูกไม่ได้ก็เปลี่ยนมาหายใจทางผิวหนัง แบบนั้นมันก็นิยายไปหน่อยนะครับ คนอ่ะนะไม่ใช่คางคก กบ เขียด จะได้หายใจทางผิวหนังได้  ย้อนกลับมาถึงพี่ท่านนี้อีกครั้ง ผมมาเล่าให้ฟังว่าปราณสามารถดูดผ่านทางผิวหนังได้ด้วยนะ แกก็ยืนยันว่าทำได้จริงๆ แต่ว่าคนที่จะทำแบบนั้นได้ต้องทรงฌาน๔และทรงสติสัมปชัญญะได้ดีแล้วจึงจะสามารถทำได้ และนั่นเป็นสาเหตุที่พี่ท่านนี้ต้องการให้ผมสอนเรื่องการเจริญสตินั่นเอง ประสบการณ์การฝึกพลังปราณของพี่ท่านนี้เป็นอย่างไรบ้าง เดี๋ยวมาเล่าต่อครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ศาสตราวุธในโลกวิญญาณ

กรรมมันหนีไม่ได้หรอก

บทนำ นิทานขี้โม้