อายุยืน เป็นอมตะ ตอนที่ 5

อายุยืน ชีวิตอมตะตอนที่5

ในการฝึกสมาธิ ก็มีบางครั้งบางคราที่อยากไปรู้ไปเห็นเรื่องภายนอก ไปในจักรวาล มองกลับเข้ามาที่ระบบสุริยะจักรวาล อันมีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง และการโครจรของดวงดาวทั้งน้อยใหญ่ กลุ่มสะเก็ดดาวที่ลอยฟุ้งไป ดวงดาวที่โคจรไปเรื่อยๆ ไม่ถูกดูดเข้าไปปะทะดวงอาทิตย์ และไม่ถูกผลักออกไปให้พ้นจากวงโคจร ดาวหางที่พุ่งไปในอีกทิศทางหนึ่งและหมุนวนไม่เป็นแนวเดียวกันกับวงโคจรของดาวเคราะห์ เป็นไปตามทฤษฏีแรงดึงดูดของนิวตัน และอธิบายการไม่ชนกันของดาวเคราะห์ด้วยแรงผลักและแรงดูดที่สมดุลกันตามกฎของควอนตัมฟิสิก จักรวาลที่กว้างใหญ่นี้คงจะกว้างใหญ่ที่สุดแล้วสำหรับวัยเด็กของผม เมื่อย้อนกลับมาดูอนุภาคที่เล็กที่สุด เมื่อครั้งที่พยายามจะค้นหาว่าอิเลคตรอนเคลื่อนที่อยู่รอบๆ นิวตรอนและโปรตอน โดยนิวตรอนมีประจุเป็นกลางหรือจะเรียกว่าไม่มีประจุแต่มีมวล ส่วนโปรตอนเป็นประจุบวกและอิเลคตรอนเป็นปะจุลบ เมื่อมองเข้าไปในอิเลคตรอนที่เคลื่อนที่รอบๆอยู่นั้นสภาพคล้ายกลุ่มหมอก โดยนักวิทยาศาสตร์มองว่ามีการเคลื่อนที่ใน 3 แนวแกน คือ  x,y,z ในแต่ละแนวแกนที่หมุนวนรอบตัวเองนั้น เรียกว่า ควากร์

หลวงปู่ดุลย์ ท่านไม่เล่าเรื่องผีสาง อิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์ ใครมาถามอะไรเรื่องเหล่านี้ท่านไม่ตอบ หลวงปู่จะตอบเรื่องจิต เรื่องธรรมล้วนๆ จนกระทั่งพระที่ติดตามหลวงปู่ได้เห็นหลวงปู่ลุกมานั่งเทศน์เงียบๆอยู่ลำพัง ที่โรงพยาบาล อดสงสัยไม่ได้จึงกราบเรียนถามว่าเทศน์ให้ใครฟัง จึงทราบว่าหลวงปู่เทศน์ให้เทวดาฟัง และหลวงปู่ยังบอกไว้ว่า ใน 1 ปรมาณูบรรจุเทวดาได้ 8 องค์ จนเป็นที่งุนงงสงสัยแต่ไม่กล้าถามต่อ ซึ่งทำให้เกิดหลักฐานอย่างหนึ่งขึ้นมาว่า ครูบาอาจารย์ท่านรู้จักอนุภาคที่เล็กที่สุด มาก่อนหน้านี้แล้ว 2600 ปี เมื่อมองดูเข้าไปในปรมาณูนั้นกลับมีลักษณะโครงสร้างคล้ายคลึงกับระบบสุริยะจักรวาล ซึ่งมีจุดศูนย์กลางและมีบริวารแวดล้อม มนุษย์และสัตว์ก็ประกอบขึ้นจากปรมาณูเล็กๆแบบนี้เอง แม้ปัจจุบันจะค้นพบอนุภาคที่เล็กที่สุด ที่เรียกว่า ฮิกซ์ อนุภาคที่เป็นจุดเริ่มต้นของการกำเนิดชีวิต อนุภาคพระเจ้า นั่นก็ยังห่างไกลจากการค้นพบในทางพระพุทธศาสนา เพราะพระพุทธศาสนาค้นพบทั้งรูปธรรมและนามธรรม ต่อไปจนถึงนามรูป คือนามธรรมที่ถูกผู้รู้(สติ)ตามดูตามเห็นก็เปลี่ยนสภาพจากนามธรรมเป็นรูปธรรม โดยหมายเอาว่า ผู้รู้เป็นนาม ผู้ถูกรู้เป็นรูป
นิทานขี้โม้ก็ชักแม่น้ำทั้ง๕มาโม้จนกลายเป็นแม่น้ำฮวงโหเสียแล้ว เพื่อจะหลอกท่านผู้อ่านให้หลงเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงนะเนี่ย แต่ว่าจริงๆแล้วเป็นเรื่องโม้นะครับ และที่ชักแม่น้ำทั้ง๕มานี้ ก็เพราะว่า มีอยู่วาระหนึ่ง ผมก็เข้าไปดูจนกระทั่งถึงระดับเซลล์ มองเห็นการทำงานภายในที่มีการบริโภค การเกิดของเสียภายในเซลล์ การขับของเสียจากเซลล์ทิ้ง มีการหมดอายุขัยของเซลล์และมีการเกิดขึ้นใหม่ของเซลล์ด้วยเช่นกัน เซลล์แต่และเซลล์มีหน้าที่ที่มาพร้อมกับความทรงจำของมันเอง มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของแต่ละเซลล์ที่ประกอบกันขึ้นมา แต่สิ่งที่พบเห็นเป็นรูปธรรมนี้นั้นนักวิทยาศาสตร์ก็สามารถมองเห็นได้ด้วยอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์เช่นกัน ไม่น่าแปลกอะไร แต่การมองเห็นจากสมาธิยังสามารถมองเห็นพลังงานรูปแบบหนึ่งที่ช่วยผลักดันให้เซลล์ต่างๆดำเนินไปอย่างมีชีวิตและอย่างต่อเนื่อง คนสมัยโบราณคงรู้จักพลังงานนี้มานานแล้ว อาจจะโดยความบังเอิญหรือไรไม่ทราบได้ แต่มีความรู้เรื่องพลังงานลักษณะนี้มาหลายพันปีก่อนแล้ว มีการเรียกชื่อต่างๆกันไป ชี่ ปราณ จักรกะ การสมมติชื่อเรียกแม้ว่าจะต่างกัน แต่ก็เป็นการเรียกสิ่งเดียวกัน ซึ่งผมเรียกพลังงานชนิดนี้ว่า พลังชีวิต

พลังชีวิตนี้เมื่อมีอายุน้อยกลับมีมาก พออายุมากกลับมีน้อย เมื่อพลังชีวิตมีน้อยลงเซลล์ก็เริ่มไม่มีการสร้างขึ้นใหม่เพราะเซลล์ใหม่จะสร้างได้นอกจากประกอบขึ้นจากอนุภาคปรมาณูที่มาประกอบเข้าด้วยกันแล้ว ยังต้องอาศัยพลังชีวิตนี้ด้วย หากขาดพลังชีวิตไปแล้วธาตุในระดับปรมาณูก็ไม่สามารถดำรงธาตุเอาไว้ได้ ดังนั้นเมื่อพลังชีวิตลดน้องลงจำวนเซลล์ที่สร้างใหม่น้อยลง เซลล์เดิมที่เก่าแก่เสื่อมโทรม ก็ทำให้คนเราทุกคนสัตว์ทุกชนิดต้องย่างเข้าสู่วัยชรา และตายไปในที่สุดเมื่อหมดพลังชีวิต หรือมีน้อยเกินไป

หากว่าเราจะสูดปราณหรือพลังชีวิตนี้จากธรรมชาติเข้ามาเติมเต็มพลังชีวิตของเซลล์แต่ละเซลล์เพื่อให้มีการผลิตเซลล์ใหม่ขึ้นในปริมาณคงที่เช่นเดียวกับวัยหนุ่ม ก็ย่อมมีโอกาสที่จะอายุยืนยาวออกไปได้อีกหลายสิบหรือหลายร้อยปีได้ ที่ต้องใช้คำว่ามีโอกาส เพราะคนที่จะดึงปราณเข้ามาในร่างกายได้มากเพียงพอ ต้องใช้เวลาในการออกกำลังกายร่วมกับการทำสมาธิในระดับอภิญญาและเจริญสติในระดับมหาสติ เพื่อให้สามารถดึงพลังชีวิตเข้ามาแล้วกระจายวนเวียนไปตลอดทั่วทั้งร่างกายตั้งแต่ผิวกายภายนอกไปตลอดในถึงไขกระดูกและเลือด เรื่องราวขี้โม้แบบนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้นักที่จะดึงดูดพลังชีวิตมาใช้หล่อเลี้ยงร่างกายให้อายุยืนหรือมีชีวิตต่อไปได้นานๆ จนกระทั่งเมื่อกว่าสิบปีที่แล้ว ผมได้ติดตามรุ่นพี่ท่านนึงไปกราบพระอาจารย์ที่ท่านฉันแต่น้ำเปล่าเพียงวันละแก้วแต่ยังดำรงชีวิตอยู่ได้มา 20 กว่าปีแล้ว นับเวลาจนถึงบัดนี้ หลวงพ่อรูปนี้ไม่ได้ฉันอาหารมากว่า 30 ปี ทุกวันนี้ ขณะที่พิมพ์อยู่นี้ เดือนกรกฎาคม 2561 หลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ที่จังหวัดสุพรรณ เป็นพระมีชื่อเสียงโด่งดัง

สำหรับท่านที่ฝึกวิธีเล่นแร่แปรธาตุ ฝึกการตั้งธาตุแบบโบราณตามแบบสมเด็จพระสังฆราชสุก(ไก่เถื่อน)อาจารย์ของสมเด็จฯโต เมื่อนำการเล่นแร่แปรธาตุมาเติมธาตุในร่างกายแล้วนำพลังชีวิตเข้ามาเสริมด้วยก็จะช่วยให้ร่างกายยืนยงคงกระพันอยู่ได้นานขึ้น จะอยู่ได้นานเท่าไร ก็ขึ้นอยู่กับอิทธิบาท๔ คือ ๑.ฉันทะ ความยินดีพอใจที่จะอยู่นานๆ ๒.วิริยะ คือความพากเพียรขวนขวายหาความรู้เพื่อทำให้ชีวิตยืนยาว ๓. จิตตะ คือ มีจิตจดจ่อ เฝ้าสังเกตความเป็นไปของร่างกายเมื่อได้ใช้วิชาต่างๆที่ศึกษาค้นคว้ามา ๔.วิมังสา มีสติใคร่ครวญพิจารณาในการปรับปรุงการฝึกฝนและพัฒนาวิชาความรู้ที่ตนเองได้รับมา เพื่อต่อยอดให้เกิดความสำเร็จในการยืดอายุของเซลล์ในสังขารร่างกาย ดังนั้นคำกล่าวที่ว่า ผู้ใดเจริญอิทธิบาท๔แล้วจะสามารถเป็นผู้มีอายุยืนยาวได้ถึง๑กัปล์นั้น ก็น่าจะมีความหมายประมาณนี้ครับ คือมีการศึกษาค้นคว้ากลไกของการมีชีวิต การได้รับการถ่ายทอดความรู้จากครูบาอาจารย์ที่อยู่ในต่างมิติต่างกาลเวลาถึงวิธีการที่จะทำให้มีอายุยืนได้ดังเช่นท่านที่อยู่ในดงเหล่านั้น

ถ้าการมีอายุขัยยืนยาวได้นานๆหลายร้อยปีนี้ ครูบาอาจารย์ที่เก่งๆดังๆทั้งหลายทำไมไม่ทรงสังขารเอาไว้ด้วยอิทธิบาท๔ อันนี้ตอบอย่างปุถุชนซึ่งก็คงไม่ตรงกับที่พระอริยะบุคคลจะตอบนัก ก็คงประมาณได้ว่า ท่านทั้งหลายที่เข้าเขตอริยะบุคคลแล้ว ท่านไม่ยินดี ไม่อาลัยอาวรในสังขารร่างกายเหล่านี้แล้ว มองเห็นร่างกายเป็นของสกปรก น่ารังเกียจ เป็นทุกข์ เป็นรังของโรค เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จะเพียรเพื่อรักษาธาตุขันธุ์อันเป็นกองทุกข์นี้ไปเพื่ออะไรกัน ยิ่งทิ้งไปเร็วเท่าไรยิ่งดี ซึ่งต่างจากปุถุชนที่หวงแหนร่างกายมาก อยากรักษาไว้นานๆอยากให้เป็นหนุ่มสาวแข็งแรงอยู่นานๆ จนกลายเป็นว่า คนรู้ท่านไม่อยาก คนอยากท่านก็ไม่รู้

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ศาสตราวุธในโลกวิญญาณ

กรรมมันหนีไม่ได้หรอก

บทนำ นิทานขี้โม้