ผู้รู้ไม่ยึด ผู้ยึดไม่รู้


ผู้รู้ไม่ยึด ผู้ยึดไม่รู้


               นิทานขี้โม้วาระนี้เป็นเรื่องดราม่า เป็นนิทานแนวน่าสมเพช กระแทกกระทั้นอารมณ์เล็กๆ คือนับตั้งแต่ที่ผมต้องหมดอายุขัยเป็นวาระที่ 2 เกิดขึ้นในช่วงสึนามิพอดี ในช่วงนั้นแทนที่ผมจะลงไปพักผ่อนที่ภูเก็ตตามแผน ก็กลับเปลี่ยนใจว่าขอไปตายในกรรมฐานดีกว่า แล้วก็เก็บของไปวัดป่าแถวโคราช กะว่าจะตายในระหว่างการฝึกจงกรมก็ดี นั่งสมาธิก็ได้ ไม่เป็นไร แต่ว่าใจเราจะไม่คลาดจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีกำลังใจเต็ม ไม่ได้หวาดหวั่นในความตาย ในระหว่างที่นั่งสมาธิอยู่นั้น ปะคำหยกที่คอเกิดขาด เม็ดปะคำกระจัดกระจาย นาฬิกาที่ไม่ได้ยืมเพื่อนมา เป็นของเราเอง วางเอาไว้ที่หัวนอน สายนาฬิกาก็ขาดกระจัดกระจายเป็นหลายท่อน เวลานั้นพิจารณาแล้วก็ไม่เห็นจะมีความอาลัยอาวรณ์ในร่างกายนี้ ภพชาตินี้เราไม่ได้มีความรู้สึกสนใจใยดีอีกแล้ว จะทำตามที่หลวงพ่อสอนไว้ เจริญสติ ทรงฌาน มีจิตรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ ถ้าตายลงตรงนี้ เวลานี้จะไปไหนก็ไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีความกังวลใจ ก็เดินจงกรมไป สลับกับการนั่งสมาธิไป จนกระทั่งคืนวันพระ

               คืนวันพระ เป็นวันของพระ เรามาปฏิบัติจิตเพื่อเข้าถึงความเป็นพระ คืนวันพระเราจึงเจริญกรรมฐานตลอดทั้งคืนเพื่อถวายแด่ความเป็นพระ คืนนั้นก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดเล็กๆน้อยๆคือว่า เห็นหลวงปู่มั่น ยืนอยู่ที่หัวทางเดินจงกรม เมื่อเดินจงกรมไปก็เจริญสติไปด้วยเจริญสมาธิไปด้วย หลวงปู่มั่นท่านก็มาพาไป บอกว่าคุณตามมา อะไรที่คุณสงสัย ที่ต้องการจะรู้จะเห็น จะพาไปดู ก็ตามท่านไป ได้ไปรู้ไปเห็นสภาวธรรมของส่วนสาวกภูมิเป็นอย่างไร พุทธภูมิต้องรู้อย่างไร จนที่สุดกลับมา ก็พบว่าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าองค์ปัจจุบัน ประทับยืนอยู่ ก็เข้าไปกราบ กราบเสร็จแล้วก็ทูลถามว่า ข้าพระพุทธเจ้า ขอลาพุทธภูมิครับ ทุกข์ของวัฏฏะสงสารนี้ช่างยาวนานทับถมกันไปไม่หมดไม่สิ้น เมื่อยังมีพระโพธิสัตย์อีกเป็นจำนวนมาก เศษเดนอย่างข้าพระพุทธเจ้านั้นไม่มีค่าไม่มีความหมายใดๆเลย จึงคิดว่าขอลาเพื่อจะจบกิจในชาตินี้ ก็กราบทูลลา 3 ครั้ง ทรงปฏิเสธทั้ง 3 ครั้ง สักพักหนึ่งก็เห็นองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งรู้ขึ้นมาว่าคือสมเด็จองค์ปฐม เสด็จมาถึง ประทับห่างออกไป สัก2-3วา แล้วก็ทรงตรัสว่า ศิษย์ที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ก็ไม่ควรนับเป็นศิษย์ ในเมื่อไม่เชื่อฟังคำสั่งแล้ว ก็จงออกไปจากพระพุทธศาสนานี้เสีย ว่าแล้วก็ไล่ส่งเลย เวลานั้นผมก็รู้สึกตัวว่าเราทำผิดมากไปแล้ว จึงกราบขอขมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งสองพระองค์ และกราบทูลไปว่า นับแต่นี้เป็นต้นไปเรื่องการปรารถนาพุทธภูมิก็ดี การลาพุทธภูมิก็ดี ข้าพระพุทธเจ้าจะไม่เอ่ยถึงอีก กาลในภายหน้าจะปรากฏว่าเป็นอย่างไร ขอยกให้เป็นการตัดสินพระทัยของสมเด็จองค์ปฐมจะเห็นสมควร ข้าพระพุทธเจ้าจะบำเพ็ญบารมี จะเพียรภาวนา และทะนุบำรุงพระพุทธศาสนา เฉกเช่นเดียวกับที่พุทธบริษัทฯทั้งหลายจะพึงกระทำ

               กราบลาเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินจงกรมต่อไป องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็เสด็จกลับ หลวงปู่มั่นท่านก็จากไป เวลานั้นก็เดินจงกรมไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้ยินเสียงไก่ขัน ก็ยังคงเดินต่อไป พิจารณากาย พิจารณาจิต ใคร่ครวญในสิ่งที่รู้ที่เห็นว่า ความรู้ความเห็นใดๆที่เกิดขึ้นกับเรานี้ จะว่าจริง ก็พิสูจน์ไม่ได้ จะว่าไม่จริง ก็พิสูจน์ไม่ได้อีกเช่นกัน การจะเชื่อก็ไม่ควร เพราะนิมิตเหล่านี้นั้น แม้แต่พระอรหันต์ก็ยังมีโอกาสผิดพลาดคลาดเคลื่อนได้ นับประสาอะไรกับเราที่ยังเป็นปุถุชนอยู่ ย่อมเชื่อถือไม่ได้อยู่แล้ว แต่ครั้นว่าจะไม่เชื่อก็ไม่ควร เพราะจะทำให้เป็นคนดื้อถือฑิฐิมากเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญาเข้าไปอีก ดังนั้นการเชื่อก็ไม่ดี การไม่เชื่อก็ไม่ดี การยึดมั่นถือมั่นในความเชื่อและความไม่เชื่อก็ล้วนแล้วแต่ไม่ดีทั้งนั้น พิจารณาใคร่ครวญดูแล้ว ก็ไม่เห็นประโยชน์จากการเชื่อหรือไม่เชื่อแต่อย่างใด แม้จะเคยหรือไม่เคยปรารถนาพุทธภูมิมาก่อนนั้นมันก็เป็นเรื่องของอดีตที่ผ่านไปแล้ว อนาคตจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่อาจคาดการณ์ได้ ทางที่ดีจึงควรจะอยู่กับปัจจุบัน ภาวนาลงที่จิตที่ใจในปัจจุบันจะดีกว่า เมื่อเหตุปัจจัยพร้อมมูลแล้ว ผลย่อมเกิดตามแต่เหตุที่กระทำลงไปนั่นแหละ

               ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ก็จะบอกต่อท่านผู้อ่านทุกท่านว่า นิทานขี้โม้นี้ เป็นเพียงนิทาน+ขี้โม้ ท่านทั้งหลายอย่าได้ยึดถือว่าเป็นเรื่องจริงจัง แล้วมาบีบบังคับผมให้เชื่อหรือไม่เชื่อตามที่พวกท่านคิด วิเคราะห์ แยกแยะ เพราะตัวผมเองก็ไม่ได้เชื่อหรือไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น เพียงแต่เอามาเล่าเอาไว้เพียงเพื่อความบันเทิงสนุกสนานเท่านั้นเอง ขออย่าได้มาเชื่อในสิ่งที่ผมเห็น หรือไม่เชื่อในสิ่งที่ผมเห็น เพราะว่าตัวผมเอง จะเห็นหรือไม่เห็นก็สบายใจดี สิ่งที่เห็นจะจริงหรือไม่จริงผมก็ไม่ได้เอามาใส่ใจเอาเป็นเอาตาย หรือจะยึดมั่นถือมั่นว่านิมิตเหล่านี้เป็นของจริงแต่อย่างใด ผมเห็นเพียงเป็นนิทานที่ผ่านมา และที่นำมาบันทึกเอาไว้ก็เพื่อให้ท่านผู้อ่านสนุกสนานไปเท่านั้นเอง ไม่ได้หวังผลอื่นใด แล้วก็ไม่ได้คาดหวังจะให้ท่านทั้งหลายเอาไปยึดมั่นถือมั่นนะครับ

               หลายๆท่านรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจกับการที่ผมปรารถนาพุทธภูมิ(ซึ่งปรารถนาจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้หรอกนะ นอกจากองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงพยากรณ์) บางคนก็ว่าผมไม่ได้ปรารถนาพุทธภูมิหรอก เป็นสาวกภูมิเท่านั้นเอง ก็เห็นมีการถกเถียงกันและคิดวิเคราะห์ไปในทางต่างๆหลายแง่หลายมุมเพื่อเอามาสนับสนุนแนวความคิดเห็นของท่านทั้งหลาย แต่ก็ไม่ได้มาถามผมเลยว่าผมรู้สึกนึกคิดอย่างไรในเรื่องนี้ จริงๆแล้วผมไม่ได้คิดเรื่องปรารถนาพุทธภูมิมานานแล้ว เลิกคิดไปนานแล้ว ผมว่าผมปรารถนานรกภูมิ มีใครสนใจไปอยู่ร่วมภพภูมิกับผมบ้างไหมครับ? พอบอกแบบนี้เข้าทุกคนหนีหมด แต่ละคนร้องยี้ ไม่เอาด้วย.... อย่านะครับ พวกร้องยี้ๆเนี่ย ตายไปเจอกันในนรกผมจะขำให้ฟันร่วงหมดปากทีเดียวเชียว....

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ศาสตราวุธในโลกวิญญาณ

กรรมมันหนีไม่ได้หรอก

บทนำ นิทานขี้โม้