เจ้าพ่อเขากา


พระเจ้าตากสินมหาราช




               ถูกถามเรื่องพระเจ้าตากสินมาหลายครั้งด้วยกัน ผมก็เล่าตามที่ผมรู้ผมเห็นมา แต่ว่าเล่าออกสื่อไม่ได้ ก็มักจะถูกถามว่า ทำไมไม่ตรงกับที่หลวงพ่อฤษีท่านเล่า หลวงพ่อจรัญก็เล่าไปอีกอย่างนึง แม่ชีก็เล่าไปอีกแบบนึง ทำไมการรู้เห็นในสมาธิของแต่ละท่านแต่ละคนไม่เหมือนกัน เรื่องนี้ผมก็ไปตอบแทนหลวงพ่อท่านไม่ได้น่ะครับ แต่ที่ผมรู้ผมเห็นมาบังเอิญว่าไปตรงกันกับประวัติศาสตร์ที่ได้ทราบมาจากประเทศเพื่อนบ้านซึ่งบันทึกเป็นจดหมายเหตุเอาไว้ในช่วงเวลานั้น และได้พบตัวบุคคลที่ยังมีชีวิตอันเป็นเชื้อสายพระเจ้าตากสินมหาราชที่อยู่ทางภาคใต้ ทั้งนครศรีธรรมราช พังงา

               แต่ว่าถ้าจะให้ผมเดา ตามความเห็นส่วนตัวก็แล้วกัน เรื่องนี้เป็นอดีตไปแล้วแต่ว่าก็เป็นอดีตที่ยังไม่นานนัก ยังมีตัวบุคคลสืบทอดเชื้อสายกันอยู่ หากจะเอาความจริงทั้งหลายมาขุดคุ้ยตีแผ่กันก็จะสร้างความขัดแย้งในหมู่คนไทยและคนไทยเชื้อสายจีนกันขึ้น ซึ่งมีแต่โทษ ไม่เกิดประโยชน์ใดๆเลย การเล่าเรื่องราวของหลวงพ่อจึงเป็นเหมือนเรื่องจริงอิงนิทานที่จะช่วยปลอบประโลมจิตใจคนไทยและคนไทยเชื้อสายจีนไม่ให้เกิดความขัดแย้ง มีความสามัคคีปองดอง อยู่ร่วมกันอย่างสันติต่อไป เรื่องการแย่งชิงบัลลังก์นั้น หากจะศึกษาประวัติศาสตร์ของชาติอื่นๆ ก็มีมาด้วยกันทุกชาตินั่นแหละ มันเป็นแบบนี้มาทุกยุคทุกสมัย แย่งกันไปแย่งกันมา เข่นฆ่ากัน ใช้อุบายต่างๆ อย่างที่เห็นกันในวรรณกรรมจีนทั้งหลายก็มีให้เห็น ประวัติศาสตร์ชาติยุโรปก็มีเกิดขึ้นให้ได้ศึกษามากมาย ซึ่งถ้าหากสร้างความขัดแย้ง แก้แค้น ช่วงชิง บ้านเมืองก็จะหาความสงบร่มเย็นไม่ได้ และที่เดือดร้อนที่สุด คือประชาชนคนในชาตินั้นๆ

               ถ้าเช่นนั้นหลวงพ่อมุสาหรือเปล่า ก็ไหนว่าเป็นพระอรหันต์แล้วทำไมถึงพูดมุสา เจอคำถามแบบนี้ขึ้นมาผมต้องรีบตีลังกาสามตลบหลบหนีแพล็บนึงนะ ปรามาสครูบาอาจารย์เรา เราก็ไม่ค่อยจะยอมรับนะครับ แต่ว่าเขาพูดด้วยความสงสัย ถ้าเรารักและเข้าใจในตัวหลวงพ่อก็น่าจะพอตอบให้ได้ว่า หลวงพ่อท่านไม่ได้มุสา ท่านหลีกเลี่ยงแล้วโดยการเล่าให้เป็นนิทานไปเสีย ส่วนผู้ฟังเองจะยึดถือเป็นจริงเป็นจังอันนั้นก็สุดแท้แต่ท่าน ใครก็ห้ามท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อไม่ได้ ในเมื่อเล่าเป็นนิทานไปแล้ว คำว่ามุสา ก็ใช้กับหลวงพ่อไม่ได้ครับ ทั้งนี้เพราะว่า ราชสีห์กับหนู เต่าพูดกับกระต่าย นิทานอีสปเหล่านี้ที่เล่าสืบๆต่อกันมา นายอีสปนี่ก็ต้องถูกหาว่ามุสาทุกเรื่องครับ แต่ว่าคนดีๆเขาก็เข้าใจว่านายอีสปเล่าเรื่องเป็นนิทาน แต่ว่านิทานแฝงไปด้วยคติสอนใจ ที่สอนใจได้ทั้งชาวบ้าน ชาวเมือง คนจน คนรวย และผู้ปกครองบ้านเมืองในสมัยนั้น ผู้ปกครองบ้านเมืองสมัยนั้นไม่พอใจอีสป ก็ส่งทหารมาฆ่าให้ตาย แต่ก็ไม่มีใครบอกว่านายอีสป พูดเล่าเรื่องโกหก แต่อย่างใด

               นิทานอีสปเป็นเช่นไร เรื่องจริงอิงนิทานของหลวงพ่อก็เป็นเช่นนั้น เรื่องจริงอิงนิทานเป็นเช่นไร นิทานขี้โม้ก็ไม่ได้เป็นเช่นเดียวกัน เพราะว่าผมโม้อย่างเดียวล้วนๆไม่มีเรื่องจริงให้อ้างอิงสักเท่าไหร่เลยครับ เล่าแล้วผมก็สบายใจของผมนะครับ ใครจะว่าผมถูกอุปาทานบริโภคแล้ว ผมก็ยอมรับครับ ทุกวันนี้ก็ยังถูกอุปาทานบริโภคอยู่อีกหลายเรื่อง ก็เนื่องเพราะผมยังเป็นปุถุชนอยู่นั่นเอง ผมจึงมักเขียนแทรกเอาไว้บ่อยๆจนท่านทั้งหลายรำคาญว่า ที่ผมเล่าเอาไว้นี้เป็นนิทาน+ขี้โม้ด้วย เพราะกลัวว่าท่านผู้อ่านจะลืมไปคิดว่าเป็นเรื่องจริง

               วันที่ 12 สิงหาคม 2561 แวะไปทำบุญวัดหนองเรือ จ.ฉะเชิงเทรา ผ่านศาลเจ้าพ่อเขากา ทหารกล้ามือขวาของพระเจ้าตาก ขากลับจากวัด อาเฮียแกชวนไปกราบไหว้สักการะ เพราะเห็นว่ามีความเกี่ยวข้องกับพระเจ้าตากสินมหาราช ส่วนตัวผมเองจริงๆแล้วร่างกายไม่ค่อยดี ตอนเช้าเดินอยู่ดีๆนกขี้ใส่หัว ล้างเช็ดเสร็จแล้วก็นึกในใจว่าคนโบราณบอกว่าถ้านกขี้ใส่หัว จะโชคดี คิดในแง่ดีไว้ก่อน แล้วไปซื้อกาแฟเย็นมากินกับปาท่องโก๋ ผลปรากฏว่าท้องเสียอย่างหนัก แวะกินก๋วยจ๊าป กลางทาง กินเสร็จอาการก็ไม่ดีขึ้น มองดูไปแล้วก็เห็นทีอาหารจะเป็นพิษ คงเป็นเพราะกาแฟใส่นมเป็นแน่แท้ ว่าแล้วก็งัดเอาวิชาก้นหีบมาใช้ กสิณไฟ เพ่งเข้าไป เผาผลาญลงไป แต่ว่าเห็นคราบนมมันเกาะอยู่ในกระเพาะ ยังไงก็เอาไม่ออก ว่าแล้วก็ลองงัดอีกวิชากสิณสายฤาษีมาใช้ หมุนเอากสิณน้ำรวมกับกสิณไฟ ปั่นจนเป็นพายุทอร์นาโดในท้อง เปลวไฟกับสายน้ำประสานเป็นเนื้อเดียวกันปั่นไปหลายเวลาพอสมควร อาการก็ไม่ดีขึ้น ว่าแล้วก็งัดวิชาลมปราณ สูดปราณขึ้นมาโคจรย้อนกลับ หุหุหุ ก็เนื่องจากความเป็นพิษมันยังอยู่ ทางเดียวที่จะแก้ได้ก็คือบังคับให้อาเจียนออกมา ไม่งั้นระบายถ่ายออกข้างล่างท่าทางจะยุ่งเหมือนกัน เพราะยังต้องเดินทางอีกไกล ว่าแล้วก็เดินไปลำรางริมทางแถวที่จอดรถ ก็บังคับให้อาหารในกระเพาะหมุนเวียนพุ่งออกมา ก็พุ่งมาตามสั่ง 3 รอบ ให้หมดท้องซะก่อนแล้วค่อยบ้วนปากแล้วดื่มน้ำตามเข้าไป นั่งตามดูแล้วก็เห็นว่านมบูดนี้ออกไปหมดแล้ว เหลือคราบติดกระเพาะอยู่บ้าง แต่ว่าไม่มีอันตรายอะไร

               มาถึงเวลาฉันเพล พระฉันเสร็จเราศิษย์วัดกินต่อ ก็มองๆดูๆแล้วเห็นว่ากินอาหารเข้าไปเสร็จมันแน่ แต่ถ้าไม่กินร่างกายจะอิดโรยมาก กินผลไม้กับน้ำได้ ส่วนอาหารอื่นๆต้องงด พอขากลับก็มีอาการอ่อนเพลียพอสมควร โดนลากไปปีนบันไดขึ้นเขาไปไหว้เจ้าพ่อเขากา เหงื่อแตกโทรมกาย หายใจหอบเป็นหมาหอบแดด แต่ว่าผลของการฝึกหนักและทำตามครูบาอาจารย์ท่านบังคับสั่งสอนมา ทำให้เวลายิ่งเพลีย ยิ่งเจ็บป่วย ยิ่งเหน็ดเหนื่อย ใจจะขาด กรรมฐานยิ่งต้องทรงกำลังมากยิ่งขึ้นกว่าปกติ ไปถึงก็คุกเข่าลงยกมือไหว้ ยังไม่ทันหลับตา แค่นึกว่าเจ้าพ่อเขากาท่านอยู่ที่นี่ไหม ก็บังเอิญไปเห็นท่านเดินเข้ามาหา บอกว่าไอ้เกลอเว้ย ไม่ได้เจอกันนาน เป็นยังไงบ้าง ยังจำกันได้หรือเปล่า แต่ก่อนเราเคยร่วมรบกันมา บอกไม่บอกเฉยๆมาจับข้อมือซ้ายลากไปดู เห็นเหตุการณ์สมัยนั้นที่ถือดาบคู่ นุ่งผ้าเหมือนผ้าขาวม้าแล้วม้วนๆลอดหว่างขามาเหน็บ มีรัดแขนสองข้าง ถือดาบคู่ ไล่ฟันพวกพม่า ฆ่ากันฉิบหายวายป่วง แทบไม่ทันได้หายใจ เพราะเผลอไม่ได้ ถ้าเผลอเจอกระซวกทันที ท่านพาไปดูเห็นภาพกำลังตะลุมบอนกันอยู่ ก็บอกท่านว่า อดีตก็ผ่านไปแล้วครับ ผมก็ไม่ได้อยากจะไปรู้เรื่องราวอะไร ขอลาดีกว่าครับ รีบๆลาแล้วถอยออกมานอกศาล ลากอาเฮียมาบอกว่ารีบกลับดีกว่า เดี๋ยวจะเย็นค่ำ

               วันนั้นร่างกายก็ไม่ค่อยดี อ่อนเพลียด้วย เหนื่อยมาก แต่ว่าอารมณ์ใจเต็มกำลัง กรรมฐานต้องทรงไว้ตามคำสั่งครูบาอาจารย์ แต่ว่าไปเห็นไปเจออะไรมาระหว่างที่ร่างกายไม่ดีนี้ เชื่อถือไม่ค่อยได้ครับ อุปาทานแทรกได้ง่าย ทางนึงที่จะป้องกันอุปาทานแทรกก็คือ อย่าไปสนใจอะไรกับสิ่งที่รู้ที่เห็น จะจริงก็เท่านั้น จะเท็จก็เท่านั้น เห็นหรือไม่เห็น รู้หรือไม่รู้ ค่ามันก็เท่ากัน จะอุปาทานหรือไม่อุปาทานก็เลย โนสน โนแคร์ ขอแค่มีสติตามดูจิต มีสัมปชัญญะ รู้สึกตัวทั่วพร้อม ทำจิตให้ทรงตัวในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งเอาไว้ในปัจจุบัน เอาแค่นี้ก่อน กว่าจะกลับถึงบ้านได้ เหน็ดเหนื่อย ตาหูเหลือก แบกน้ำมนต์มาอีก 4 ขวด เพราะ พอจ.ถามแล้วถามอีกว่า ใครที่ขอน้ำมนต์เอาไว้ให้มาเอาไป ไม่มีใครรับ ผมเลยเหมาว่าพอจ.คงอยากจะให้ผมล่ะมั๊ง เลยรับมาทั้งถุง 4 ขวด แบกมา ตาเหลือกอีก ก็เป็นอันว่าจบนิทานขี้โม้ เรื่องของอดีตก็ปล่อยมันไป เรื่องของอนาคตก็ยังไม่มา ทำปัจจุบันให้ดี อดีตก็จะดี อนาคตก็คาดหวังได้ว่าจะดี การรู้การเห็นใดๆก็ตาม ก็สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น ไม่ต้องไปยึดมั่นถือมั่นอะไร แต่ถ้าจะต้องยึดก็อย่าให้มั่น ถ้าจะต้องถือก็อย่าให้มั่น ปล่อยได้ก็ปล่อยมันไป ภาระทางใจก็จะลดๆลงครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ศาสตราวุธในโลกวิญญาณ

กรรมมันหนีไม่ได้หรอก

บทนำ นิทานขี้โม้