ปู่เจ้าสมิงพราย ตอนที่ 2
ปู่เจ้าสมิงพราย
ตอนที่2
วิธีปิดตาที่ปู่เจ้าสมิงไพรเปิดเอาไว้ให้นั้น
ไม่เคยรู้มาก่อน ก็อาศัยบารมีครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่ง ก็รู้ขึ้นมาในสมาธิว่า พุทโธอัปมาโน
คุณของพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ ว่าแล้วก็ขอบารมีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นประธาน
ตั้งนะโม 3 จบ แล้วก็ว่า นะปิด โมปิด พุทปิด ธาปิด ปิดด้วยนะโมพุทธายะ ยะธาพุทโมนะ
ระหว่างบริกรรมก็เอามือวางไว้บนหัวของคนที่เราจะปิดตาที่สามนี้ บริกรรมไปจนเกิดแสงสว่างไปทั่วตัวก็เป็นอันว่าเสร็จเรียบร้อย
หลังจากนั้นก็ต่อด้วยบทมงกุฎพระเจ้า
ก็เหมือนเดิมคือบริกรรมไปจนเกิดเป็นแสงสว่างจ้าขึ้น แล้วก็บอกให้หญิงสาวผู้นี้สวดคาถามงกุฎพระพุทธเจ้าทุกๆวันเป็นประจำให้ครอบกายตัวเองเอาไว้
เป็นคาถาป้องกันตัวที่มีพุทธคุณมากมาย
สมัยผมยังเป็นเด็ก สัก 10-11 ขวบ
เรียนคาถาอาคมจากตาลุงเพื่อนแม่ ที่เคยเป็นหมอผีเก่าก่อน
บอกว่าคาถาอิติปิโสเรือนเตี้ยนี้ ถ้าเอ็งท่องไปเรื่อยๆ ไม่มีผล
ป้องกันตัวเองไม่ได้ นอนๆท่องไป ตะปูหล่นจากขื่นใส่หัว หัวแตกได้ เพราะว่าเวลาสวดต้องมีท่าประกอบด้วย
พอตั้งนะโม 3 จบแล้ว ก็ให้แบมือ เอานิ้วก้อยมาชนกัน
แล้วยกขึ้นเอานิ้วชี้ทั้งสองข้างแตะที่หน้าผาก จากนั้นก็เริ่มว่า อิติปิโส
วิเสเสอิ....เวลาท่องไปก็เอามือลูบผ่านหัวไป แล้วมือจะแยกออกจากกันตรงบริเวณท้ายทอย
ก็ลูบผ่านข้างลำคอ มาประกบเป็นท่าพนมมือตรงลูกกระเดือกพอดี ก็ให้จบตรงที่ ปิติอิฯ
แล้วก็บอกว่าคาถานี้ใช้ป้องกันตัวเองได้เพียง 24 ชม. ดังนั้นจึงต้องท่องเป็นประจำทุกเช้า
หลังจากปิดตาให้แล้วเธอผู้นี้ก็ไม่ค่อยจะเห็นผีอีกต่อไป
เว้นเสียแต่วันโกนก็จะมีบ้าง มาขอส่วนบุญ ส่วนที่จะเห็นตามสี่แยกที่มีคนตายเยอะ
พวกนี้ก็ไม่เห็นแล้ว ส่องกระจกได้ตามปกติ
การเปิดตาแบบนี้จะเห็นผีได้ชัดเจนกว่าพวกเราที่ฝึกทิพยจักขุญาณ แต่ว่าเห็นเทวดา
พรหม ไม่ได้ เพราะเป็นการเห็นด้วยอาคม ผมเคยถามว่า
เห็นผีแบบนี้แล้วไม่ลองขอหวยดูล่ะ เธอบอกว่าเคยลองขอแล้วพี่ ผีก็บอกหวยมาให้
พอไปซื้อ....โดนแดรกเรียบ....สรุปว่าผีหลอกอย่างแท้ทรู
วิชาเปิดตาของปู่เจ้าสมิงพราย ก็อาจจะมีคนสงสัยว่าเหมือนกับการเปิดตาที่
3 หรือจักระที่ 3 หรือเปล่า ผมเองก็เคยสงสัย ลองไปนั่งพิจารณาดูแล้ว ก็คล้ายๆกัน อาจจะต่างกันบ้างก็ตรงที่วิชาของปู่เจ้าสมิงพรายจะเปิดทวารทั้ง
9 ไปด้วย ทำให้เวลาใครทำคุณไสยเข้ามา ลมเพลมพัด พวกนี้จะโดนได้ง่าย หรือผีจะเข้ามาอาศัยในร่างก็สามารถเข้าได้อย่างสะดวก
พวกนี้ก็จะมีแนวโน้มเป็นร่างทรงได้โดยไม่ยากอะไร
ดังนั้นเวลาปิดวิชาแบบนี้จึงต้องปิดทวารทั้ง 9 ครอบด้วยพุทธคุณทั่วทั้งตัว ถ้าปิดเฉพาะตาอย่างเดียว
มองไม่เห็นผีแต่ก็ยังมีโอกาสโดนคุณไสย คุณผี(ไม่เห็นจะมีคุณเลยอ่ะนะ มีแต่โทษ) พอปิดไปทั้งหมดแล้ว
ผ่านไปสัก 6 เดือนก็ลองถามดูว่าเป็นยังไงบ้าง ผลก็คือไม่เห็นผี
ไม่มีผีมารบกวนอีกแล้ว มีแต่เรื่องเงินไม่พอใช้มารบกวนแทน อีแบบนี้คาถาอะไรก็คงช่วยไม่ได้
นอกจากขยันทำมาหากิน
เรื่องคาถาอาคมทั้งหลายของพวกฤษีเหล่านี้
ผมก็เคยมีความสงสัยว่า ทำไมจู่ๆมันถึงได้ขลังขึ้นมา แล้วต้องท่องแบบนี้ สวดแบบนั้น
แล้วให้ผลแบบโน้น สมัยหนุ่มๆผมก็เลยขอบารมีพระและท่านผู้มีพระคุณได้ย้อนกลับไปดูในสมัยก่อนตอนที่ผมยังเป็นฤษีอยู่
ว่าตอนนั้นทำบ้าอะไรของมัน ย้อนไปเมื่อกัล์ปที่แล้วๆมา เห็นสารรูปตัวเองยืนมองดวงอาทิตย์อยู่ในป่าโปร่งแห่งหนึ่ง
ตัวสูงสัก 5-6 เมตร ผอม นุ่งห่มหนังสัตว์ วันๆไม่ทำบ้าอะไรหรอก ยืนจ้องดวงอาทิตย์อยู่งั้นแหละ
การเห็นในทิพยจักขุญาณแบบนี้ จะเห็นเหมือนเราเข้าไปยืนอยู่ด้วยในสถานที่และเหตุการณ์นั้นๆ
แต่ถ้าอยากจะรู้ว่า ตัวเราเวลานั้นมีความรู้สึกนึกคิดหรือมีอารมณ์อาการอย่างไร ก็ให้น้อมจิตเราเข้าไปสัมผัสที่ร่างเดิมนั้นของเรา
ก็จะสามารถรับรู้อารมณ์ ความรู้สึก ความคิดต่างๆในเวลานั้นได้ แต่ว่าอันนี้ต้องระวังนะครับ
เพราะมีบางคนที่ฝึกๆไปแล้ว ทำแบบนี้เหมือนกัน แต่ว่าไปสัมผัสเอาเวลานั้นว่ารู้สึกรักใคร่ชอบพอกับใคร
เสร็จแล้วก็ไม่รู้จักพิจารณาว่า อดีตชาติก็สิ้นสุดไปแล้ว ภพชาตินั้นๆได้สิ้นไปแล้ว
ความกำหนัดกำเริบใดๆก็ดับไปแล้ว เราอยู่ในปัจจุบันขณะ
ก็พึงพิจารณาประพฤติของตนในปัจจุบันเท่านั้น
ไม่ใช่เอาอารมณ์รักใคร่ผูกพันในอดีตมาใช้ในปัจจุบัน แล้วพอออกจากสมาธิมาก็มาหลงรักกันในยุคปัจจุบัน
โดยไปคิดว่าเรากับเขาเคยเป็นคู่รักกันมาก่อน ชาตินี้เราจะมารักกันต่อ
แบบนี้ไม่ใช่วัตถุประสงค์ที่หลวงพ่อสอนทิพยจักขุญาณให้นะครับ ถ้าจะเอาไปทำแบบนี้
อย่าไปฝึกเสียเลยจะดีกว่า ท่านสอน ท่านฝึก ให้ไปรู้ไปเห็นความทุกข์ในอดีต
เพื่อให้เกินความสลดใจ เบื่อหน่าย ว่ารักแล้วมีทุกข์เพียงใด ความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์
ในท้ายทีสุดก็ต้องตาย กายแตกดับ แยกย้ายกันไป พลัดพรากได้ด้วยกันทุกข์คน อย่างนี้จึงจะเป็นธรรมเพื่อนำมาพิจารณาให้เบื่อหน่ายในภพชาติ
ไม่ปรารถนาการเกิดอีก ไม่ใช่ให้ย้อนไปดูว่าเคยรักกัน เคยเสพสมกัน
ต่างๆนานาแบบนี้ไม่ใช่นะครับ
โม้มากก็เมาน้ำลายไปด้วย ดีนะที่ไม่ได้อัดลงยูทูป
ไม่งั้นคงไม่มีใครทนอ่านคำบ่นแบบนี้ บ่นๆเป็นตัวหนังสือไป ขี้เกียจอ่านก็ข้ามๆไปได้
ว่าแล้วก็ข้ามกลับมาที่ฤษีเพ่งดวงอาทิตย์ สมัยนั้นก็บ้าไปอีกแบบนึงครับ
ว่าจะไม่เล่าว่าเป็นยังไงก็เกรงว่าท่านผู้อ่านจะว่าบ้า แต่ก็นึกๆดูแล้วนี่มันนิทานขี้โม้นี่หว่า
ในเมื่อเป็นเรื่องโม้ มันก็น่าจะเล่าได้นะครับ คือตาฤษีตนนี้ยืนเพ่งที่ดวงอาทิตย์ตั้งแต่เช้ามืดจนดวงอาทิตย์พ้นยอดไม้
เวลาเพ่งไป ก็ดึงเอากระแสพลังจากดวงอาทิตย์มาเชื่อมต่อกับดวงจิตที่หน้าอกตัวเอง
จนเกิดเป็นลูกกลมสว่างที่กลางอก มองไปเห็นเป็นลำแสงสว่างสาดส่องจากดวงอาทิตย์มาถึงหน้าอกฤษี
แล้วดวงตาสองข้างก็เริ่มเปล่งแสงสว่างจ้าออกมาได้ อายุสมัยนั้นได้พันกว่าปี ตอนไปเจอนี่ยืนเพ่งแบบนี้มากว่า
600 ปีแล้ว ตอนนั้นอยากรู้ว่าคาถาอาคมต่างๆมันมาได้ยังไง ก็เห็นว่าคาถาเหล่านี้เกิดจากตอนที่ยืนเพ่งอยู่นั้นแล้วเกิดความรู้ในวิชาต่างๆขึ้นมา
เมื่อได้วิชาความรู้แบบนี้มาแล้ว ก็อธิษฐานจิตเอาไว้ ฝากวิชาความรู้เอาไว้กับดวงอาทิตย์
กับแสงสว่าง กับสายลม อากาศ แผ่นดิน ผืนน้ำเอาไว้
วันใดมีคนมาพบเข้าขอให้ได้รับรู้ถึงวิชาเหล่านี้ แต่จริงๆแล้วคนที่จะมาพบก็ไม่ใช่ใครหรอก
ตัวมันเองนี่แหละ เวลาเกิดมาภพชาติใดก็จะมาเจอวิชาที่ตัวเองเคยฝากเอาไว้
หรือลูกศิษย์ ที่เคยฝึกฝนกันมาก็จะได้วิชาพวกนี้ไปใช้ คนอื่นๆก็ไม่พบ หรือแม้จะพบเข้าก็ไม่สามารถจะใช้ได้
เหมือนเจอรถ แต่ไม่มีกุญแจ สตาร์ทไม่ติด
อีกอย่างหนึ่งคือ
การตรึกนึกขึ้นมาในระหว่างการบำเพ็ญตบะว่า เราจะขอให้คำๆนี้มีผลให้เกิดสิ่งเหล่านี้
จากนั้นก็อธิษฐานซ้ำๆลงไปแบบเดิม ด้วยอำนาจตบะ ก็จะทำให้คำกล่าวนั้นๆเมื่อมีคนนำมากล่าวจะเกิดผลตามที่ฤษีตนนั้นเคยอธิษฐานเอาไว้
ว่าแต่วิธีนี้ตัวฤษีจะไปเกิดที่ไหนต่อไม่ได้
ยังคงต้องอยู่เฝ้าคาถาที่ตนเองอธิษฐานเอาไว้แล้วคอยดลบันดาลให้สำเร็จไปตามที่ตนอธิษฐานมา
จนกว่าวิชานั้นๆจะหายสาบสูญไป ไม่มีคนใช้ ไม่มีคนรู้จักอีก ก็เป็นอันว่าหมดความผูกพันต่อสิ่งที่ตนสร้างขึ้นมา
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ท่านทั้งหลายก็โปรดอย่าลืมว่า ข้าพเจ้าโม้ทั้งนั้นเลยนะจ๊ะ
ไม่มีเรื่องจริงปะปนเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นก็ขอให้อ่านเอาสนุกสนานอย่างเดียวพอ
อย่าคิดมาก
คาถาหรือคำบริกรรมต่างๆในอดีตนั้น
ทำอย่างไรถึงจะเอากลับมาใช้ใหม่ได้ อันนี้ก็จะเกิดขึ้นในระหว่างการฝึกสมาธิ
บางครั้งบางคราวก็จะปรากฏขึ้นเอง พร้อมกับความรู้ว่า เอาไปใช้ทำอะไร อย่างเช่นครั้งหนึ่ง
ระหว่างทำสมาธิไป ก็มีคำว่า “มหิทธิฤทธิ์ธาณัง ภะวันตุเม” เกิดขึ้น และมีความรู้ว่า
คำบริกรรมนี้จะช่วยให้อภิญญาเดิมที่เคยฝึกเอาไว้ กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง แต่ว่าจะมีฤทธิ์มากกว่าอภิญญาที่คนในยุคสมัยนี้รู้จักกัน
คือทำได้มากกว่าอภิญญา ออกจากสมาธิมาก็จดๆเอาไว้
แล้วก็ลองบริกรรมดูจนรู้สึกคล่องตัว แต่ก็ไม่เห็นจะมีฤทธิ์อะไรสักกะอย่างนึง
เอามาลงไว้เผื่อใครจะเอาไปบริกรรมก็ไม่หวงห้ามแต่อย่างใดครับ
มาเมื่อต้นปีนี้เองก็มีคำบริกรรมขึ้นมาในสมาธิอีกบทหนึ่ง
ว่า “ทามิ
พุทธัง โสตัง” ออกจากสมาธิมาก็รีบจดเอาไว้ทันที เพราะผ่านไปสักพักก็จะลืมแน่นอน
คาถานี้เวลาใครซวย ดวงตก บริกรรมแล้ว จะช่วยให้รอดพ้นผ่านวิกฤติไปได้
มีคนเอาไปลองใช้แล้วได้ผลดีทีเดียวครับ คาถาหรือคำบริกรรม ถ้าไม่อยากให้ผมนำมาเผยแพร่
ก็ไม่ต้องให้ผมรู้นะครับ เพราะถ้าผมรู้แล้ว
ผมก็จะเอามาบอกเล่าให้คนทั้งหลายฟังอย่างแน่นอน จะมาหวงห้ามปิดบังโน่นนี่นี่นั่น
ผมว่ามันไม่ถูกต้องหรอกครับ เรื่องดีๆต้องเปิดเผยได้ เรื่องที่ลับๆล่อๆ
ต้องแอบต้องปิดบัง มันต้องเป็นเรื่องน่าละอายนั่นแลฯ
ถ้าจะมาบอกว่าเป็นคาถาเฉพาะส่วนตัวสำหรับผมเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งแล้วไปใหญ่เลยครับ
ก็ในเมื่อเป็นคาถาสำหรับผมแล้ว ผมก็มีสิทธิ์โดยสมบูรณ์ ดังนั้นผมจะเปิดเผยหรือให้ใคร
มันก็เรื่องของผมน่ะสิ ในเมื่อเป็นคาถาของผมแล้วผมจะเปิดเผยให้ใครรู้มันก็เรื่องของผม
ดังนั้นท่านทั้งหลาย ถ้าจะเอาคำบริกรรมเหล่านี้ไปใช้ ก็ไม่มีความผิดอะไร
แต่ว่าก่อนจะบริกรรมก็ขอให้กราบพระก่อน ตั้งนะโม3จบ ระลึกถึง คุณพระพุทธ พระธรรม
พระอริยะสงฆ์ ให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ค่อยบริกรรมนะครับ
เพราะถ้าคนไม่เคารพในพระรัตนตรัยเสียแล้ว จะบริกรรมคาถาอะไรให้ดีได้ยาก
พวกที่ด่าพ่อด่าแม่ก็เหมือนกันนะครับ พวกนี้ปากเป็นพิษ ปากเป็นโทษ จะมากล่าวคาถาคำดีๆให้เกิดผลดีไม่ได้หรอกครับ
แขวนพระ พระก็เสื่อม เรื่องด่าพ่อล่อแม่นี่ ผมเองก็เคยคิดจะลองดูเหมือนกันครับ
ผมกะว่าจะด่าลูกผมว่า พ่องตายเหรอ? ผมอยากรู้ว่าคาถาอาคมจะเสื่อมไหมครับ?
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น