ภัยพิบัติฉบับขี้โม้ ตอนที่ 1


ภัยพิบัติฉบับขี้โม้ ตอนที่ 1



               ฟังกันมาเยอะ อ่านกันมาแยะ เรื่องของภัยพิบัติ แผ่นดินไหว น้ำท่วมฟ้า ปลาจะกินดาว ฯลฯ ทำนายกันสารพัด แล้วมันก็ไม่เห็นจะเกิดซะทีนะครับ ภัยพิบัติก็เหมือนกับใบ้หวย ตอนหวยออกแล้ว คนนั้นก็รู้คนนี้ก็รู้ รู้ไปหมดนั่นแหละครับ ประมาณว่านั่นไง เห็นไม๊ ว่าแล้วเชียว อุอิอุอิ งุงิ ...

               เรื่องภัยพิบัติเหมือนผมจะเคยเล่าเอาไว้หลายครั้งแล้วในหลายๆที่ด้วยกัน ก็เลยนึกว่าคงจะเล่าไปแล้วในนิทานขี้โม้ ก็มีคนค้านว่ายังไม่ได้เล่า วันนี้ก็เลยว่าจะเล่าเอาไว้เป็นนิทานขี้โม้ เนื่องจากว่าเป็นนิทาน ท่านทั้งหลายก็อ่านเอาสนุก อย่าได้ถือสาหาความอะไรกระผมเลยนะครับ ขึ้นชื่อว่านิทานแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องจริง

               กาลครั้งหนึ่งไม่นานสักเท่าไหร่ สมัยผมยังหนุ่มน้อย พอจะได้มีวิชาความรู้จากครูบาอาจารย์สั่งสอนมาบ้าง ก็ให้นึกสงสัยว่า ใต้พิภพเรานี้จะมีอาณาจักรแปลกๆใหม่ๆอะไรเหมือนในนิยายบ้างหรือเปล่า อันนี้ก็ต้องอาศัยปัจจุปันญาณ ซึ่งเป็น1ในญาณ8 จะว่าไปแล้วก็เป็นการอาศัยทิพยจักขุญาณเป็นพื้นฐานนี่เอง แต่เนื่องจากว่าเรายังกระจอกอยู่มาก เวลาจะไปรู้ไปเห็นที่ไหนก็ต้องไม่ลืมที่จะขอบารมีครูบาอาจารย์เป็นที่ตั้งเสมอๆ แล้วเนื่องจากว่าเป็นเรื่องโลกๆ ซึ่งก็ไม่ใช่โลกะวิฑูรเสียด้วย การจะขอบารมีพระก็เกรงจะไม่สมควร จากนั้นก็ไปสำรวจกัน มุดลงใต้พื้นดินไป มองไปรอบๆ ดูไปลึกๆลงไปเรื่อยๆ ในโพรง ในถ้ำ ใต้ทะเล ใต้มหาสมุทร สุดไปจนถึงแกนกลางของโลก นอกจากหนอนบ้าง แมลงบ้าง ก็ไม่เห็นจะมีมนุษย์คนไหนอาศัยอยู่ในโพรง ลึกใต้ดิน อย่างที่นิยายเขาเล่ากันมาเลยครับ

               ลึกลงไปจนถึงชั้นลาวา หรือหินเหลว ร้อนมาก เป็นเหมือนกระแสน้ำไหลวนเวียนไปมาอยู่ในแกนกลางของโลก มีเปลวพวยพุ่ง กระจัดกระจาย มีลมร้อนพัดผ่านไปมา การหมุนวนเคลื่อนที่ของ ของไหลเหล่านี้นี่เอง ที่ก่อให้เกิดสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ทำให้เกิดเป็นขั้วโลกเหนือขั้วโลกใต้กันขึ้น การไหลวนเวียนเหมือนทะเลคลุ้มคลั่งของกระแสลาวานี้ ก่อให้เกิดกระแสลมรุนแรง และเมื่อกระแทกไปถูกชั้นหินบางส่วนก็ละลายลงมา บางส่วนถูกกระแสลมร้อน จากลาวาก็กลายเป็นชั้นหินและแร่ปนๆกันไป มองๆไปแล้วก็เห็นเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่มีอะไรมาก เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้มานับล้านๆปีแล้ว

               การไหลเวียนของกระแสลาวานี้ ก็ยังมีส่วนสัมพันธ์กันกับของเหลวที่อยู่บนผิวดินด้วย น้ำที่เป็นส่วนประกอบมากถึง 3 ใน 4 ส่วน ช่วยปรับสมดุลของกระแสไหลเวียนของลาวา ทำให้เกิดการสมดุลแบบไดนามิกเกิดขึ้น บางครั้งกระแสไหลวนของลาวา อย่างคลุ้มคลั่งก็ไปดันให้เปลือกโลกส่วนที่บางกว่า เกิดโป่งและปะทุขึ้นกลายเป็นภูเขาไฟ เปลือกโลกส่วนที่บาง และเกิดการปะทุได้ง่าย จะอยู่ใต้ทะเล มหาสมุทร เกิดขึ้นบ่อยครั้งกว่าบนแผ่นดิน แต่ว่าความรุนแรงน้อยกว่า เพราะทันทีที่ลาวาดันขึ้นมาก็ปะทะเข้ากับน้ำทะเลแล้วเย็นตัวลงทันที ก่อเกิดเป็นชั้นหินปิดทับร่องรูตรงนั้นเอาไว้

               การเกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินยุบตัว น้ำท่วมครั้งมโหฬาร ต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มาจากอิทธิพลของกระแสไหลวนของลาวาใต้พื้นพิภพทั้งสิ้น แล้วจะทำนายได้ยังไงว่า จะเกิดแผ่นดินไหว สึนามิ ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินยุบตัว น้ำจะท่วมโลก จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ในอนาคต แบบนี้ก็หันไปถามครูบาอาจารย์ ท่านก็บอกว่าเรื่องพวกนี้เป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ มันต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว แต่ว่าเมื่อไหร่นั้น บอกไม่ได้ ก็เป็นอันว่าจะมาดูว่ามีคนอยู่ใต้แผ่นดินลึกหรือเปล่า ก็เลยได้มาดูของไหลใต้พื้นพิภพแทน มองเห็นเปลวความร้อนที่กระจัดกระจายขึ้นมา นี่มันร้อนยังกะนรกจริงๆทีเดียว แต่ว่ามองหานรกที่อยู่ใต้พื้นพิภพ ก็ไม่เห็นจะมีนรกอะไรอยู่ใต้ดิน เหมือนอย่างที่แม่ชอบชี้ว่าพวกทำบาปทำชั่วต้องลงไปข้างล่าง เราก็ลงมาดูข้างล่างแล้วมันก็ร้อนจริงๆ แต่ว่าไม่มีนรกแต่อย่างใด ถ้ามีนรกอยู่ใต้ดินจริงๆแล้ว พวกที่ขุดหลุมขุดรู ก็คงได้ไปเจอนรกแล้วแหละนะ

               พอมาถึงช่วงหนุ่มใหญ่ ก็ให้มาเจอเรื่องสึนามิ ตอนก่อนจะเกิดสึนามิ เวลาเข้าสมาธิไปกราบครูบาอาจารย์ก็ไม่ทราบเรื่องเลยเหมือนกัน แต่ว่าก่อนจะเกิดสึนามิไม่กี่วัน ก็ปรากฏว่าครูบาอาจารย์มาเตือนว่าชะตาขาดแล้ว คือว่าหมดอายุขัย ไปเจอหลวงพ่อหลวงปู่ในสมาธิท่านก็เตือนมา ช่วงนั้นทำงานหนัก เหน็ดเหนื่อยมาก จะลาพักร้อน10วันละไปภูเก็ตหรือไปหาศิษย์พี่ที่กระบี่ จะไปนอนนิ่งๆ แช่น้ำทะเล ให้มันหายเหนื่อยล้า แต่เมื่อครูบาอาจารย์ท่านมาเตือนในสมาธิแล้วว่าชะตาขาด ก็มานั่งพิจารณาว่า พ่อแม่เราก็สิ้นชีวิตกันไปหมดแล้ว กิจการที่มีอยู่นั้นตายไปก็เอาไปไม่ได้ คนรักทั้งหลาย ศัตรูคู่แค้นใดๆล้วนแล้วแต่เปล่าประโยชน์เมื่อต้องตายลง อะไรมันไม่มีความหมายทั้งสิ้น มีเพียงบุญกุศลที่จะตามติดตัวเราไปได้ แล้วบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ ที่องค์สมเด็จพระชินวรทรงตรัสเอาไว้คืออานิสงค์ผลของการเจริญพระกรรมฐาน เพราะเป็นสิ่งเดียวที่จะต่อสู้กับกิเลสให้เป็นสมุเฉทประหาน เพื่อการสิ้นภพสิ้นชาติ แม้ว่าชาตินี้เราไม่อาจกำจัดให้หมดสิ้นจากสันดานได้ แต่ก็คิดจะทำความเพียรให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ก็ในเมื่อวิบากกรรมมาตัดรอนเสียก่อนในเวลานี้ สิ่งที่เราพอจะทำได้ก็คือขอตายในการเจริญกรรมฐาน ตายแล้วจะขอกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเพศบุรุษ จะมาฝึกกรรมฐานต่อ ให้หมดสิ้นอาสวะในสันดาน ว่าแล้วก็แบกกระเป๋าเข้าวัด สั่งเสียทุกคนไว้แล้วก็หลบไปเข้ากรรมฐาน

               ฝึกกรรมฐานอยู่ในวัดป่า ไม่มีคนมาวุ่นวายด้วย ดูว่าเมื่อไหร่จะตายเราก็พร้อมแล้ว จะตายท่านั่ง ท่ายืน ท่าเดิน เราพร้อมตลอดเวลา คืนวันพระก็ทำเนสัชฉิก จนครบวาระ ก็ไม่ยอมตาย พอออกจากวัดมาก็ได้ข่าวว่าเกิดสึนามิ มีคนตายเป็นจำนวนมากด้วยกัน นึกสงสัยว่าทำไมยมทูตไม่มาเอาชีวิตห่วยๆของเราไปซะ นึกถึงหลวงพ่อท่านก็มาสงเคราะห์ให้ฟังสั้นๆว่า คนที่เจริญกรรมฐานจริงๆจังๆเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ยมทูตเข้าถึงตัวไม่ได้ เพราะครูบาอาจารย์ตามคุ้มครองอยู่ เมื่อครูบาอาจารย์ท่านอยู่ตรงนั้น พรหมเทวดาท่านก็จะตามมาอยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก ยมทูตจะแทรกตัวเข้ามาเอาวิญญาณไปก็ไม่สามารถทำได้ พอเลยกำหนดเวลาแล้ว ก็ไม่สามารถจะย้อนกลับมาเอาชีวิตคนๆนั้นไปได้อีก ก็สงสัยว่าชีวิตหลังจากนี้แล้วมันจะเป็นยังไงต่อไป เพราะว่าต้องตายมา2ครั้งแล้ว แต่ว่าไม่ยอมตายแบบนี้ชีวิตที่เหลือจะเป็นยังไง หลวงพ่อก็บอกเพียงว่า อยู่ที่เราจะกำหนดของเราเองแล้ว ซึ่งนับจากนั้นมา การดูดวงใดๆก็ไม่ได้ผล เพราะดวงชะตาบอกว่าคนๆนี้ได้ตายไปแล้ว จากชีวิตที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนด้วยความยากลำบากมากมาย นับจากนั้นมาชีวิตก็พลิกผันเปลี่ยนแปลงไป คือลำบากยิ่งกว่าที่ผ่านมามากๆมายๆ สรรพทุกข์ สรรพโศก สรรพโรค สรรพภัย สรรพเคราะห์ เสนียดจัญไร ไม่ไปไหนเลย แต่ว่ามันก็ทุกข์ได้แต่กายเนื้อนี้เท่านั้นเอง ทุกข์กาย ทุกข์สมอง แต่หัวใจนี้มอบถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปแล้ว จะเกิดทุกข์อะไรอย่างไร โนสน โนแคร์ คนที่ตายไปแล้ว มันไม่เอาอะไรแล้ว ซากเดนที่เหลืออยู่ต่อแต่นี้ จะทำประโยชน์ต่อโลก ต่อพระศาสนาของพระศาสดา คิดแค่นั้นเอง

               กลับมาทำงานก็มีเสียงร้องโหยหวนว่า ไม่เป็นธรรม ไม่เป็นธรรม ไม่เป็นธรรม พวกข้าตาย ทำไมเอ็งถึงไม่ตาย มันก็พูดซ้ำๆซากๆอยู่แบบนั้น น่ารำคาญดี จนคิดว่าอย่ากระนั้นเลย ลงไปกระบี่ไปดูพวกที่มาร้องโวยวายพวกนี้เสียหน่อยว่า พอจะช่วยอะไรได้บ้าง เสื้อผ้าก็ไม่มี เปลือยกายทั้งผู้ชายผู้หญิงทั้งเด็ก ก็เลยเอาผ้าไตรไปด้วย1ชุด ว่าจะไปทำบุญอุทิศให้ ส่วนสังฆทานก็ไปหาเอาข้างหน้าละกัน เรื่องราวต่อจากนั้นก็ดูเหมือนว่าจะเคยเล่าไปแล้ว ไม่เล่าซ้ำล่ะนะ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ศาสตราวุธในโลกวิญญาณ

กรรมมันหนีไม่ได้หรอก

บทนำ นิทานขี้โม้