ภัยพิบัติ ฉบับขี้โม้ ตอนที่3


ภัยพิบัติ ฉบับขี้โม้ ตอนที่3

               เรื่องอนาคตังสญาณ นอกจากองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว การทำนายของสาวกทั้งหลายยังสามารถผิดพลาดคลาดเคลื่อนได้ มากน้อยต่างกันตามความบริสุทธิ์ของจิต และความสามารถวาสนาเดิมของแต่ละบุคคลที่ทำกันมา ดังนั้นการที่จะไปบอกว่า ทำไมครูบาอาจารย์รูปนั้นทำนายเอาไว้นานแล้วไม่เกิดขึ้นเสียที หรือบางทีก็คลาดเคลื่อนไป ก็ไหนว่าเป็นเกจิอาจารย์โด่งดังมีชื่อเสียง มีคนนับหน้าถือตามากมายแล้วทำไมถึงทำนายแล้วไม่เกิดผลตามนั้น หรือแม้กระทั่งว่าพระเกจิอาจารย์บางรูปท่านชอบดุด่าว่ากล่าว ทำกริยาท่าทางดุดันก้าวร้าว แล้วทำไมถึงว่าท่านเป็นพระอริยะเจ้าได้ ทำไมยังแสดงกริยาท่าทางแบบนั้นๆ นั่นก็เพราะวาสนาเดิมท่านทำมาแบบนั้นเอง แก้ไขไม่ได้ เหมือนอย่างพระสาริบุตรที่กระโดดข้ามท้องร่อง นอกจากองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ไม่มีใครสามารถแก้ไขวาสนาหรือว่าสันดานเก่าให้หมดลงไปได้ แม้ว่าจะบรรลุธรรมขั้นสุดแล้ว ที่เล่ามานี่ก็หวังเพียงจะทำความเข้าใจกับพวกเราทั้งหลายว่า อย่าพึ่งไปด่าว่าตำหนิครูบาอาจารย์เลยนะครับ โดยเฉพาะ หลวงพ่อพระราชพรหมญาณ วัดท่าซุง หรือหลวงตามหาบัว วัดป่าบ้านตาด อย่าพึ่งไปจ้องจับผิดท่าน

               เรื่องราวในอนาคตนั้นบางอย่างก็รู้ได้ บางอย่างก็รู้ไม่ได้ บางอย่างรู้แล้วก็เอาไปเล่าต่อไม่ได้ อนาคตที่รู้ว่าจะเกิดขึ้นแน่ๆก็เช่นว่า หวยจะออกทุกวันที่ 1 และ 16 ของทุกเดือน แต่ที่รู้ไม่แน่ก็คือ มันจะออกเลขอะไร พระบางรูปท่านก็รู้ได้ เหมือนอย่าง หลวงพ่อ เฟื่อง วัดจุฬามณี ท่านรู้ว่าหวยจะออกเลขอะไร แต่ก็บอกตรงๆไม่ได้ เพราะบางคนไม่มีบุญวาสนาทำมาทางด้านนี้ บอกเอาไปแล้วก็จะไม่ซื้อ หรือไปซื้อกลับเลขกัน หรือซื้อไปแล้วหาย เจ้ามือเบี้ยวไม่จ่าย ต่างๆนานา แต่ถ้าจะไปฝืนชะตากรรม ซื้อแล้วให้มันถูกขึ้นมา โดยที่ตัวเองไร้วาสนาบารมีไม่เคยทำทานทางด้านนี้มาเลย แบบนี้ได้รับเงินไป ก็มักมีอันต้องเสียไปในทางใดทางหนึ่ง แล้วสุดท้ายกรรมนั้นก็มาตกลงที่ผู้ที่ไปบอกหวย คนไปบอกเขานี่จะตกระกำลำบากยากจนลงไปเลยทีเดียว ดังนั้นฆราวาสที่ยังต้องกินต้องใช้ก็เลยไม่เหมาะจะไปทำเรื่องแบบนี้ แม้แต่พระสงฆ์ที่สามารถทำได้ ท่านจึงเลือกให้กับคนที่มีบุญวาสนามาทางนี้ แล้วทำบุญยังไงมันถึงได้มีลาภลอยแบบนี้ อันนี้ก็เคยมีคนสงสัย หลวงพ่อท่านก็เคยบอกให้ฟังว่า ต้องเป็นคนที่มีจิตใจรักในการให้ทาน ให้ทานแบบด่วนๆ ให้ทานแบบไม่ต้องคิดวิเคราะห์แยกแยะ ให้ทานจะเล็กๆน้อยๆ ใครชวนทำบุญก็ทำเลย ใส่บาตรก็ใส่ทุกๆวันจะมากจะน้อยใส่บาตรเสมอ เวลาใส่บาตร ทำบุญ ไม่คิดมาก ไม่คิดเยอะ ทำบุญทำทานจะทำไว ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง แบบนี้เวลาผลบุญมาสนองก็จะมาสนองไวๆ ลาภจะมาแบบไม่มีเงื่อนไข มาแบบฟลุ๊คๆไม่คาดคิด ทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุมีปัจจัยมาจากอดีตที่เคยทำมา และปัจจุบันที่ทำเอาไว้ในขณะนี้ ก็มีผลสืบเนื่องไปยังอนาคตได้เช่นกัน

               ก็มาถึงภัยพิบัติฉบับขี้โม้ อันนี้ก็ต้องขอบอกว่าผมเป็นปุถุชนคือบุคคลผู้หนาแน่นไปด้วยกิเลส ดังนั้นการจะรู้ได้เห็นได้ ก็อาศัยคำแนะนำสั่งสอนของครูบาอาจารย ลำพังตัวเองบ่มิไก๊ และแม้ว่าจะขอบารมีครูบาอาจารย์แล้ว บ่อยๆครั้งที่ความไม่เอาไหนของผมเอง ทำให้การรู้การเห็นนั้นไม่ได้เรื่องได้ราวหรอกครับ ดังนั้นแล้ว ก็ขอท่านทั้งหลายอ่านเอาสนุกนะครับ อย่าเอาสาระ อย่าถือเอาเป็นจริงๆเป็นจังหรือจะคิดว่าคนบ้าเพ้อเจ้อก็ได้ ไม่ว่ากันครับ ดีกว่าไปคิดว่านี่เป็นเรื่องจริง

               สมัยหนุ่มๆ ก็ยังอยากรู้อยากเห็นตามประสาคนเพี้ยนๆ ก็ขอบารมีครูบาอาจารย์ไปดูว่า ภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้มันมีอะไรที่จะเกิดขึ้นบ้าง โดยเฉพาะในประเทศไทยและพื้นที่รอบๆ เวลาดูนี่ก็จะเหมือนเราเหาะออกไปยืนบนท้องฟ้าแล้วมองลงมาที่ประเทศไทย มองไปไม่เห็นภาคใต้แล้ว กรุงเทพฯกลายเป็นเมืองบาดาล น้ำขึ้นไปจนถึงนครสวรรค์ คือว่า นครสวรรค์กลายเป็นเมืองชายทะเลไปแล้ว ทางไปอีสานเห็นโคราชเป็นเมืองชายทะเล สระบุรี นี่กลายเป็นเกาะแก่ง พื้นที่ราบนี่จมน้ำกันไปหมด ภาคใต้นี่จมไปหมด มาเลเซีย สิงคโปร์ไม่รู้ว่าหายไปไหน อินโดนีเซียจมหายเกือบหมด มีที่โผล่พ้นน้ำมาเป็นเกาะ ขนาดใหญ่กว่าจังหวัดภูเก็ตไม่มาก ฟิลิปปินส์ หายไปเลย ญี่ปุ่น จมน้ำหายไปหมด หมดนี่หมดทั้งประเทศ มองไปมีแต่พื้นน้ำไปหมด ตอนนั้นสงสัยหลายอย่างครับ แล้ววัดช้างไห้เป็นยังไง แล้วรอยพระพุทธบาท ที่ภูเก็ตจะเป็นยังไง แล้วทำไมมันจมหายไปขนาดนี้ได้ยังไง คนจะตายกันเยอะไหม จะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นเมื่อไหร่

               นึกถึงคำถามคำตอบก็มีมาตามประสานิทานน่ะครับ ท่านผู้มีพระคุณท่านทราบว่าไอ้ขี้สงสัยนี่มันคิดอะไรอยู่ ท่านเลยตอบมาว่า วัดช้างไห้ก็จมน้ำสิ ส่วนรอยพระพุทธบาทนั้น พญานาคดูแลอยู่ แม้ตอนนี้จะอยู่ชายทะเลริมน้ำ ก็มีพญานาคดูแลอยู่แล้ว จมน้ำไป พญานาคก็ไปดูแลต่อ ยิ่งง่ายเข้าไปอีก จำนวนคนที่ตายนั้นมากมายมหาศาล เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ท่านก็ไม่ยอมบอก ท่านบอกแต่ว่าคนมีศีลมีธรรมไม่ต้องกลัว ความหมายว่าไม่ต้องกลัวคือ คนมีศีลมีธรรมถึงแม้ต้องตายก็ไปสุคติภพ จะไปกลัวทำไม ถ้ายังไม่หมดอายุขัยก็ไม่ตายด้วยอุบัติภัยและภัยพิบัติทั้งปวงอยู่แล้ว ส่วนช่วงเวลาที่จะเกิดขึ้นนั้น ถ้าผมตายตอนอายุ 85 ปี ผมก็ไม่ทันได้เห็นครับ แต่ถ้าอยู่ถึง100ปี อันนี้ไม่แน่เหมือนกัน เวลานั้นมองไปถึงคนที่ต้องมาเสียชีวิตเป็นจำนวนมากนี้แล้วก็ให้รู้สึกนึกสงสารพี่น้องชาวมุสลิมเป็นอย่างมาก เพราะเสียชีวิตกันมากเหลือเกิน เวลานั้นพี่น้องชาวมุสลิมจะมีจำนวนประชากรทั้งมาเลเซีย อินโดนีเซีย และภาคใต้ของไทย มาจนถึงกรุงเทพและปริมณฑล จะมีอยู่เป็นจำนวนมาก เหตุการณ์ครั้งนี้จะกินเวลาประมาณ7-10วัน เกิดแผ่นดินเคลื่อนตัวแล้วยุบตัวลงเป็นระลอกๆ คลื่นน้ำก็จะปั่นป่วน เป็นคลื่นขนาดใหญ่ สูงเกินกว่าตึก4ชั้น ส่วนแผ่นดินไหวกี่ริกเตอร์ อันนี้ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน เพราะในสมาธิคงไม่ได้ถือเครื่องมือวัดอะไรติดไปด้วย ทำได้แต่เห็นแล้วคาดคะเนเอาเฉยๆ

               แต่ภัยพิบัติที่ผมยังทันได้เห็นก่อนจะตาย อันนี้อีกไม่นานจะเกิดขึ้น ไม่นานนี่คืออีกไม่กี่ปี เพราะช่วงเวลาสุกงอมเต็มทีแล้ว แต่ก็อย่างที่บอกคือ เวลากำหนดไม่ได้ เพราะรู้แค่ว่าจะเกิดขึ้นแต่ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเวลาไหน ก็คือสึนามิ ทางฝั่งอ่าวไทย เรื่องนี้สมัยนั้นผมเถียงจริงๆครับ เพราะว่าสึนามิจะเกิดขึ้นแล้วมีความรุนแรงได้ ต้องเกิดแผ่นดินไหวในแนวดิ่ง และชายหาดต้องเป็นหน้าผาตัด อย่างฝั่งอันดามัน ถ้าชายหาดลาดแบบฝั่งอ่าวไทย สึนามิจะเกิดขึ้นไม่รุนแรง เนื่องจากแผ่นดินจะรับแรงกระแทกของคลื่นไปมากแล้ว สมัยนั้นเทวดาผู้ชาย ท่านอยู่ที่กระบี่ ท่านก็ทำภาพให้ดู บอกว่าตรงจุดที่ผมยืนนี่คลื่นมาสูงเหนือยอดไม้ สูงเลยเสาไฟเข้าไปอีก ซึ่งตรงที่ผมยืนนี่ห่างจากป่าชายเลนกว่า 2 กิโลเมตร คลื่นยังสูงขนาดนี้ ก็น่ากลัวว่าจะก่อให้เกิดความเสียหายหนักมาก ก่อนหน้านี้ผมไปเดินดูแถวป่าชายเลนที่ว่านี้มาก่อนแล้ว เดินไปก็มีหินก้อนเล็กบ้างใหญ่บ้าง มีน้ำไหลผ่านบ้าง แล้วก็มองๆลงไป ก็เห็นว่าแผ่นดินแถวนี้มันเกิดจากก้อนหินน้อยใหญ่เรียงซ้อนๆกันขึ้นมาเป็นชั้นๆ เกาะเกี่ยวแบบดันๆกันเอาไว้ ลึกหลายสิบเมตรบ้าง แต่บางแห่งลึกแค่สิบกว่าเมตรเท่านั้นเอง เมื่อมองลงไปก็จะเห็นเป็นโพรงน้ำขนาดใหญ่อยู่ข้างใต้กองชั้นหินเหล่านี้ เวลานั้นหัวหน้าอุทยานท่านไปด้วย ก็เลยถามท่านว่าที่ดินตรงนี้ ความจริงแล้วข้างล่างมันเป็นโพรงน้ำขนาดใหญ่ใช่ไหมครับ ท่านหัวหน้าอุทยานก็บอกว่า ใช่แล้ว มีการสำรวจและมีภาพถ่ายทางดาวเทียม กับการยิงคลื่นสะท้อนลงไป ก็พบว่าข้างล่างเป็นโพรงน้ำขนาดใหญ่จริง ท่านก็ถามว่าผมรู้ได้ยังไง ก็บอกไปว่าผมก็เดาเอาแหละครับ พื้นดินแถวนี้โดยมากเป็นโขดหิน มันเรียงซ้อนๆกันเหมือนเป็นแผ่นดิน ท่านก็ยอมรับว่าผมเดาเก่ง หรือว่ามั่วนิ่มนี่เอง

               พอตอนที่เจอกับเทวดาองค์นั้น ท่านก็รู้แล้วว่าผมเห็นอะไรมาบ้างแล้ว ก็เลยเล่าต่อไปว่า มันจะเกิดแผ่นดินไหว แล้วก้อนหินที่เรียงๆกันเป็นแผ่นดินอย่างที่คุณเห็นนี่มันจะยุบตัวลง หรือถล่มลงไป จากชายหาดมันก็จะกลายเป็นเหมือนหน้าผา ทีนี้พอคลื่นน้ำจากแผ่นดินไหววิ่งเข้ามาปะทะ ก็จะเกิดคลื่นขนาดใหญ่ ซัดเข้าหาฝั่ง ท่านไม่เรียกว่าสึนามิ แต่ก็เป็นอันว่าเข้าใจได้ การเกิดคลื่นยักษ์ครั้งนี้จะรุนแรงกว่าที่เคยเกิดขึ้นทางฝั่งอันดามันหลายเท่า เพราะถ้าแผ่นดินไหวไม่รุนแรง โขดหินเหล่านี้ที่ยึดเกาะกันมานานจะยังไม่ถล่ม คลื่นน้ำขนาดใหญ่ก็จะไม่เข้าปะทะ พอเกิดแผ่นดินไหวที่รุนแรงเพียงพอให้โขดหินถล่มลงมาได้ การเกิดสึนามิก็จะมีขนาดใหญ่มากตามมาด้วย คนจำนวนมากจะพากันเสียชีวิต ซึ่งจำนวนที่เสียชีวิตมากก็ยังคงเป็นพี่น้องชาวมุสลิม ชาวต่างชาติ และชาวไทยพุทธ ตามลำดับ ชีวิตคือชีวิต ไม่ว่าเชื้อชาติ ศาสนาใด ผมเองก็ไม่อยากให้ต้องมาเสียชีวิตก่อนวัยอันสมควร เพียงแต่ว่าไม่ใช่วิสัยของผมที่จะสามารถช่วยเหลืออะไรได้ ทำได้เพียงรับรู้ สงสาร แต่ก็อดจะถามต่อไม่ได้ว่า แล้วคนที่มีศีลมีธรรม จะรอดได้ยังไงกัน มันมีภัยรุนแรงขนาดนั้น แล้วจะเกิดวันเวลาไหน ก็ไม่บอกแบบนี้จะรอดคงจะยาก ท่านบอกว่ามันจะมีเหตุให้คนพวกนี้ต้องเดินทางออกนอกพื้นที่ ทำให้ไม่ต้องพบกับภัยพิบัติจนถึงแก่ชีวิต แต่เรื่องทรัพย์สินเสียหายนั้นยังต้องมี เป็นว่าเหตุบังเอิญไม่มี มีแต่กฎของกรรมนำพาไป ให้ต้องพบภัยพิบัติ หรือให้รอดพ้นจากภัยพิบัติ

               ดังนั้นแทนที่จะมานั่งกังวลว่า ภัยพิบัติจะเกิดขึ้นที่ไหน เมื่อไหร่ เกิดขึ้นแล้วจะถึงแก่ชีวิตหรือไม่ มันก็ดูน่าสมเพชมากไปหน่อยไหมครับ ศิษย์มีครูไม่รู้เลยหรือว่าคนเราทุกคนเกิดมาแล้วต้องตายด้วยกันทั้งสิ้นไม่ว่าจะตายด้วยภัยพิบัติหรือไม่ก็ตาม ทุกวันนี้ก็มีคนตายกันทุกวัน จะมานั่งหวาดกลัวความตายอันเกิดจากภัยพิบัติ มันไม่สมกับเป็นศากยะบุตรพุทธชิโนรสเอาเสียเลย นักปฏิบัติธรรมเขาไม่กลัวตายกันนานแล้ว ไม่ว่าจะตายจากอะไรก็ตาม เพราะเขาเห็นเสมอว่าคนเราเกิดมาต้องตาย เราตายอยู่ทุกวัน ตายจากเมื่อวานนี้มาเกิดในวันนี้ การนอนหลับก็เหมือนกับการตายไปแล้ว และตื่นเช้าขึ้นมาก็เหมือนได้เกิดใหม่ เราหายใจออกก็ได้พ่นเอาลมเสียหรือลมที่ตายแล้ว จากเซลล์ต่างๆในร่างกายที่ตายลงทุกๆนาที แล้วก็สูดลมหายใจใหม่เข้าไป เพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตเราเหมือนได้เกิดใหม่ เซลล์ใหม่ๆได้รับออกซิเจนเข้าไปสร้างเซลล์ให้กำเนิดใหม่เป็นชีวิตใหม่ หรือเมื่อจิตกระทบเข้ากับอารมณ์เกิดเป็นความคิดขึ้น จนในที่สุดความคิดก็ดับไป อารมณ์ก็ดับไป เราทั้งหลายมีการเกิดการตายอยู่แล้วเป็นปกติธรรมดาทุกๆลมหายใจเข้าออก ทุกๆขณะจิต เรามีการเกิดการตายเป็นธรรมดาอยู่แล้ว เพียงแค่ว่าหายใจเข้าไปแล้วไม่หายใจออกก็จบแล้ว หรือว่าหายใจออกแต่ไม่หายใจเข้าก็จบแล้ว ซึ่งมันจะเกิดขึ้นกับทุกๆคนบนโลกใบนี้ แล้วก็บอกว่ากลัวตาย กลัวเหลือเกินที่จะต้องตายเพราะภัยพิบัติ มันน่าสมเพชไหมล่ะครับท่านผู้อ่านที่เคารพ ความตายมันเกิดขึ้นตรงหน้านี้แล้ว แต่ไม่เห็น ไม่กลัว ไปกลัวตายจากภัยพิบัติ

               เอาแบบนี้ก็ได้ครับ สำหรับคนที่กลัวตายจากภัยพิบัติ แต่ว่าไม่กลัวการเกิด แล้วก็ไม่เห็นทุกข์ในการเกิด ยังอยากมีชีวิตอยู่นานๆ อยากรวยๆ มีทรัพย์สินมากมาย มีอีหนูหลายๆคนเพื่อบำเพ็ญเมตตาบารมี ก็ให้หมั่นทำบุญบ่อยๆ จะใส่บาตรก็ดี จะถวายสังฆทานก็ได้ ปล่อยปลาที่เขาจะเอามาฆ่าไปไว้ในแหล่งน้ำที่เหมาะสมต่อการดำรงชีพของปลา ของเต่า หรือของสัตว์ทั้งหลายที่ลำบากก็เข้าไปช่วยเหลือ บริจาคทรัพย์ช่วยเหลือชีวิตคนที่เจ็บป่วยในรพ.ต่างๆ สวดมนต์ทุกๆวันจะบทไหนก็ได้ที่ชอบสวด สวดแล้วสบายใจก็สวดบทนั้น แล้วสุดท้ายก็บริกรรมพุทโธเอาไว้บ้าง นึกได้เมื่อไหร่ก็ท่องเอาไว้ ได้บ้างไม่ได้บ้าง ลืมบ้างก็ไม่เป็นไร ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย เพียงเท่านี้ชาตินี้ท่านก็สามารถรอดตายจากภัยพิบัติได้ แต่ว่าอาจจะไม่สามารถรอดภัยจากวัฏฏะสงสารนะครับ เพราะว่าถ้าคนยังกลัวตายอยู่ ยังหวงแหนร่างกายนี้ จะพ้นภัยจากวัฏฏะสงสารยังไม่ได้นะครับ ถ้าจะพ้นภัยจากวัฏฏะสงสารตามที่หลวงพ่อท่านได้เคยแนะนำเอาไว้ก็ต้องเริ่มต้นที่การละสังโยชน์ ๓ ข้อต้นให้ได้เสียก่อน คือ ๑.สักกายะฑิฐิ การยึดมั่นถือมั่นว่าร่างกายนี้เป็นเราเป็นของเรา เป็นตัวเป็นตนของเรา ตรงนี้ต้องไม่มี ๒.วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องไม่มี และ๓.สีลพตปรามาส ท่านแปลความว่า เป็นการลูบคลำศีล แต่หลวงพ่อบอกว่า ให้รักษาศีลยิ่งกว่าชีวิต คือยอมตายเสียดีกว่าที่จะยอมให้ศีลขาด แล้วหลวงพ่อก็บอกว่า ต้องมีใจรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ ส่วนตัวผมนี่มันยังไม่เอาไหนนะครับ ผมจึงเอาเป็นว่า ยึดถือไตรสรณคมณ์เป็นที่สุด คือ ยอมรับนับถือ พระพุทธ พระธรรม และพระอริยะสงฆ์ เป็นที่พึ่งอันสูงสุด สรณะอื่นใดๆไม่มีเสมอด้วย ไตรสรณคมณ์ คือจะให้ผมไปกราบไหว้ช้าง ม้า วัว5ขา ควายเผือก งู2หัว ต้นไม้ประหลาด ต่างๆเหล่านี้ผมไม่ทำนะครับ อะไรที่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงตรัสสอน ครูบาอาจารย์ผมไม่สอน ผมก็ไม่ทำ แล้วอะไรที่อวดรู้อวดเก่งเกิดกว่าที่ครูบาอาจารย์สอนผมไม่ทำครับ ผมเดินตามรอย ผมไม่เดินล้ำหน้าครูบาอาจารย์ ผมเดินตามให้ได้ตามที่ครูบาอาจารย์สอนผมก็ดีใจที่สุดแล้วครับ เพราะผมเป็นพวกชอบไถลลงข้างทาง แฉลบไปแฉลบมา คิดว่าใช่แล้ว นี่แหละ หลวงพ่อบอกมันต้องแบบนี้ แต่ว่าคิดไปเอง คิดเข้าข้างตัวเอง อันนี้บ่อยนะครับ เป็นนิสัยที่ไม่ดี ทำให้การปฏิบัติล่าช้า เหลวไหลไปมาก กระทู้นี้ยาวไปหน่อยนะครับ ต้องขออภัยด้วย เนื่องจากว่าขี้เกียจเล่าตอนที่๔ เลยจะให้จบที่ตอนที่ ๓ นี้ก็น่าจะพอครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ศาสตราวุธในโลกวิญญาณ

กรรมมันหนีไม่ได้หรอก

บทนำ นิทานขี้โม้