คาถาพระยายม วาระที่2


คาถาพระยายม วาระที่2


          วันที่พี่ชายผมผ่าตัดสมองเป็นครั้งที่ 2 เส้นประสาทขาดไป 6 เส้น นอนไม่รู้สึกตัว เหมือนคนครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่ 45 วัน หมอไม่รับรองว่าชาตินี้จะฟื้นคืนสติมาได้หรือไม่ หรืออาจจะเป็นคนพิการ เพ้อ ติดเตียงอยู่แบบนี้ตลอดไป

          ห้องนอนเป็นห้องพิเศษรวม เตียงตรงข้ามเป็นพระภิกษุอาพาธ เตียงเยื้องๆไปโดนตัดขาถึงหัวเข่ายังไม่รู้สึกตัว สมองยังสั่งให้ขาแขว่งอยู่ แต่ว่าขามันไม่มีจะแกว่งแล้ว นอนเรียงกันไป2แถวๆละ4เตียง พี่ชายนอนริมทางเข้าออกประตู เดินผ่านประตูเข้าไปจะเห็นขวามือมีหิ้งพระติดอยู่กับผนังกำแพง พอที่พี่ชายจะเหลียวไปเห็นพระพุทธรูปได้ อาการเจ็บปวดและเพ้อของพี่ชายนั้นรุนแรงมากขึ้นจนบางครั้งพยาบาลต้องผูกแขนขามัดเอาไว้กับเตียง มีสายทั้งออกซิเจนและน้ำเกลือ เจาะคอสำหรับดูดเสมหะ สายระโยงรยางค์น่าสมเพชเวทนามาก

          พี่ชายแม้จะปวดจะเพ้อ ก็ไม่สามารถพูดออกมาได้ จึงได้ให้จับดินสอเขียนอธิบายบนกระดาษ ได้ความว่าเห็นผีเดินไปเดินมาบ้าง เห็นเตียงตรงข้ามจะมาฆ่าบ้าง เห็นพยาบาลที่มาเปลี่ยนถุงเลือดให้นั้นจะมาฆ่าโดยเอาถุงซอสมะเขือเทศมาแทนถุงใส่เลือด เห็นพระพุทธรูปที่อยู่บนหิ้งนั้นกลายเป็นผีบ้าง ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาของโรงพยาบาลที่จะต้องมีคนป่วยคนตายและคนที่หายจากโรคกลับบ้านไปได้ ระหว่างที่เฝ้าไข้อยู่ก็มีผู้ป่วยในห้องบางคนก็เสียชีวิต บ้างก็กลับบ้านไป บ้างก็ยังนอนร้องครวญครางต่อ ผมก็ได้นั่งพิจารณาถึงความทุกข์จากการเจ็บไข้ได้ป่วย ต้องมีกันทุกๆคน มีเกิด มีแก่ มีเจ็บป่วยทรมาน มีความตายในที่สุด เวลาที่มีการตายเกิดขึ้นมากที่สุดเท่าที่ผมสังเกตดูก็คือ “เวลาต่อมา” ไม่เชื่อเวลาดูข่าวสังเกตดูสิครับว่า มีการพบผู้บาดเจ็บ ได้นำส่งโรงพยาบาล และเสียชีวิตในเวลาต่อมา.... อืม...ผมเข้าใจได้ทันทีเลยว่า นี่คือเวลาที่มีคนตายมากที่สุดนั่นเอง

          การใช้คาถาพระยายมในครั้งนี้ แตกต่างจากครั้งก่อนเพราะว่าครั้งก่อนเป็นห้องเดี่ยวมีความเป็นส่วนตัว อันนี้ห้องรวม ข้างหลังเป็นเคาน์เตอร์พยาบาล ขืนมานั่งสมาธิบริกรรมภาวนาก่อน แล้วเอามือไปจับหัวพี่ชาย เป่าจากหัวไล่ลงมา น่ากลัวว่าพยาบาลจะส่งผมไปอยู่ห้องผู้ป่วยจิตเวชแทนแหละครับ คาถาทั้งหลายจะศักดิ์สิทธิ์ ใช้ได้ผล ต้องขึ้นอยู่กับกำลังจิตของผู้ที่จะใช้คาถาด้วย และขึ้นอยู่กับครูบาอาจารย์เจ้าของคาถาท่านมาสงเคราะห์เองด้วย แบบนี้จึงจะได้ผล อาจจะไม่ได้มีผลจากการแสดงท่าทางอาการต่างๆสักเท่าไหร่นัก ดังนั้นการอารธนาบารมีพระผู้มีพระภาคเจ้า ครูบาอาจารย์ เทพพรหม ท้าวมหาราชทั้ง๔และพระยายมราช จึงอารธนาในใจก็ได้เช่นกัน ถ้าหาว่าจิตตั้งมั่นดีแล้ว กำหนดภาพพระชัดเจนแจ่มใสดี แทนที่เราจะเดินไปจับหัวเป่าเอง ก็อาศัยพุทธบารมีโปรดสงเคราะห์แผ่พุทธานุภาพเป็นแสงสว่างจ้าลงมาที่หัวพี่ชายแล้วกระจายไปทั่วทั้งตัว ขอบารมีท้าวมหาราชทั้ง๔ท่านส่งบริวารมาคุ้มครองห้องนี้เอาไว้ กันสิ่งไม่ดีต่างๆไม่ให้เข้ามารบกวนคนป่วย เห็นท่านพระยายมราชทรงเครื่องเต็มยศ เป็นประกายแวววาว มายืนพนมมือ ไหว้พระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่ไม่ห่าง เห็นแบบนี้แล้วก็มีความสุขใจ ผมก็น้อมใจเข้าไปกราบพระและท่านผู้มีพระคุณทุกๆท่าน เวลากราบก็ไม่ได้กราบทีละองค์เดี๋ยวจะเสียเวลามากเกินไป ปกติแล้วก็จะแยกอาทิสมานกายเข้าไปกราบพร้อมๆกันทุกๆพระองค์ในเวลาเดียวกัน เวลานั้นก็นึกกังวลว่าทำอย่างไรหนอพี่ชายเราถึงจะฟื้นคืนสติขึ้นมาได้ หมอบอกว่าเป็นไปแทบไม่ได้เลยนอกจากปาฎิหาริย์ ผลกรรมก็พอทราบแล้วว่าเป็นกรรมจากการไปยิงนกพิราบ เวลานั้นไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร เพียงแต่ให้พี่ชายหายปวดหายทรมานทุรนทุรายให้ได้ก่อน จากนั้นก็นั่งอยู่บนเก้าอี้พับข้างๆเตียงทำสมาธิไป พระท่านก็เสด็จกลับ หลวงปู่หลวงพ่อ พรหมเทวดาท่านก็กลับหมด เหลือบริวารท้าวมหาราชทั้ง๔ยังยืนเฝ้าประจำที่สี่มุมห้อง ทุกอย่างในห้องก็สงบลง พี่ชายหายปวด นอนหลับได้ เตียงอื่นๆก็นอนหลับไปได้เช่นกัน ผมไม่เห็นผีอะไรใดๆเลย ไม่เห็นมีผีอะไรในห้อง ก็จะไปเห็นได้ยังไงล่ะครับ บริวารท้าวมหาราชทั้ง๔ยืนคุมอยู่ ผีตนไหนจะกล้าเข้ามาใกล้ๆ พอเดินออกไปที่ระเบียง มองลงไปลานจอดรถข้างล่าง ก็เห็นคนป่วยใส่ชุดผู้ป่วยของโรงพยาบาลเดินกันไปเดินกันมา ไม่รู้จะเดินไปทำไม บางคนก็เงยหน้ามามอง ดูไปดูมาก็เป็นคนที่เคยป่วยนี่เอง แต่ว่าเวลานี้ไม่ป่วยแล้ว สบายไปแล้ว จะว่าสบายมากก็ไม่ค่อยได้ เพราะว่ายังไม่ถึงเวลาตาย พวกนี้ก็ยังเดินไปเดินมา งงๆ หิวๆ เบื่อๆ ไม่รู้จะไปไหน ไม่รู้จะกินอะไร ไม่มีอะไรให้กิน มองกันไปมองกันมา ก็คงต้องรอจนกว่าจะหมดอายุขัยแล้วไปรับผลบุญผลกรรมที่ตนเองทำมา

          พอเวลาที่ผมต้องกลับมาทำวิจัยต่อ ระหว่างนั่งๆทำวิจัยก็แว๊บไปดูพี่ชาย จึงได้เห็นว่ามีผีบางตัวมันมายืนข้างเตียง มาเรียกบ้าง ชวนคุยบ้าง มาผลักให้พลิกตัวบ้าง มาดันให้พ้นเตียงมันจะขึ้นไปนอนอย่างนี้บ้าง บางตัวก็ไปเที่ยวจับเสาห้อยถุงน้ำเกลือบ้าง พี่ชายเห็นบ้างไม่เห็นบ้างก็มีอาการหวาดกลัว เหลียวมองไปที่หิ้งพระ ก็เห็นพระพุทธรูป แต่ว่าผีไม่กลัวพระพุทธรูป เพราะว่าไม่เห็นมีพลังหรือรัศมีอะไรใดๆเปล่งออกมาเลย เป็นแต่เพียงรูปปั้นเรซิ่นธรรมดาๆเท่านั้นเอง ดังนั้นพระพุทธรูปหรือพระเครื่องที่ไม่ได้ผ่านการอธิฐานจิต หรือบรรจุพลังเข้าไปจะด้วยพลังของครูบาอาจารย์เอง หรือเป็นการอัญเชิญบารมีพระท่านมาสถิตเอาไว้ ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เป็นแต่เพียงรูปปั้นธรรมดาๆเท่านั้น

          ครบ๔๕วันก็เป็นอันสมควรแก่ความทุกข์ทรมานของพี่ชายแล้ว มองไปดูเจ้ากรรมนายเวรแล้ว นึกถึงครูบาอาจารย์แล้ว มองเห็นทางจะช่วยพี่ชายได้เพียงทางเดียวคืออุทิศอานิสงส์ผลบุญทั้งหลายทั้งหมดทั้งสิ้นตั้งแต่เมื่อครั้งเริ่มสร้างบารมีมาเพื่อสัมมาสัมโพธิญาณอุทิศทั้งหมดให้กับพี่ชายเพื่อส่งผลต่อเจ้ากรรมนายเวรขอให้อโหสิกรรมให้กับพี่ชาย จะได้ฟื้นคืนสติขึ้นมา เอาแบบว่ายกให้ทั้งหมดถือว่าเป็นการทิ้งทวน ข้าจะค่อยๆบำเพ็ญบารมีสะสมผลบุญต่างๆขึ้นมาใหม่ แต่ว่าถ้าอุทิศไปจนหมดบุญเสียแล้วจะต้องจบชีวิตลงก็ไม่เป็นไร ว่าแล้วก็เข้าสมาธิเอาไว้เต็มกำลัง ไปกราบองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก่อน ครูบาอาจารย์ท่านก็มา ไม่ว่าอะไรจะทำอะไรอย่างไรก็แล้วแต่เจ้า ทุกอย่างพร้อมแล้วก็อธิษฐานอุทิศผลบุญทั้งหลายทั้งหมดที่เคยบำเพ็ญมาตั้งแต่ครั้งที่เริ่มต้นบำเพ็ญบารมีเพื่อสัมมาสัมโพธิญาณ ขออุทิศให้พี่ชายข้าพเจ้าทั้งหมดทั้งสิ้นเพื่อให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายได้ผลบุญนี้และขอได้โปรดอโหสิกรรมให้แก่พี่ชายข้าพเจ้า ขอให้พี่ชายข้าพเจ้าผู้นี้(เอ่ยชื่อ)ได้ฟื้นคืนสติกลับมาภายในวันนี้ด้วยเถิด ก็เข้าสมาธิเต็มกำลังเอาไว้แบบนั้น จนแสงสว่างจากกายในของเราแผ่ไปปกคลุมร่างพี่ชายทั้งหมด ค้างเอาไว้อย่างนั้นสักพักหนึ่ง แล้วก็ค่อยๆถอนออกจากสมาธิ ถอนหายใจลึกๆหลายที ร่างกายก็เหมือนหมดสภาพ หมดเรี่ยวหมดแรง แต่ว่ายังต้องไปมหาวิทยาลัยต่อ ไปทั้งๆที่หมดสภาพ วันนั้นแทบทำอะไรไม่ได้เลยเหมือนกัน จนบ่ายแก่ๆกลับมาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง เห็นพี่ชายนั่งรถเข็น มีพี่สาวเข็นไปนั่งที่ระเบียง แม้จะยังพูดไม่ได้แต่ก็รู้สึกตัวดีแล้ว เขียนตอบได้ สิ่งแรกที่แกถามก็คือ นี่กูฝันไปหรือว่ากูตื่นอยู่กันแน่? ผมก็บอกว่านี่เรื่องจริง ไม่ใช่ฝันไป แต่ก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าเพื่อที่จะให้พี่ชายฟื้นคืนสติกลับมานั้น เราต้องแลกไปด้วยกับอะไรบ้าง? ได้แต่บอกกับพี่ชายว่า เดนชีวิตนี้ที่รอดมาได้ ขอให้ใช้มันเพื่อการประพฤติปฏิบัติธรรมให้สุดกำลังในชาตินี้ เพราะจะไม่มีครั้งต่อไปแล้ว

          ผมไม่รู้หรอกว่าบุญบารมีผมจะหมดสิ้นไปแล้วอย่างไร? ไม่รู้เลยว่าชีวิตต่อไปของคนที่สิ้นบุญบารมีแล้วจะดำเนินต่อไปอย่างไร? ไม่รู้หรอกว่าระหว่างการบริจาคลูกเมียที่คนทั้งหลายเห็นว่าเป็นที่รักดั่งแก้วตาดวงใจ กับการอุทิศผลบุญบารมีทั้งหมดของตนเองยอมตั้งต้นนับหนึ่งใหม่ อย่างไหนจะตัดใจได้ยากกว่ากัน ไม่รู้ว่าคุ้มกันไหมที่ทำแบบนี้ หรือนี่คือสิ่งสุดท้ายของการทดสอบกำลังใจสำหรับผู้ที่หวังจะไปเป็นครูผู้นำสรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นทุกข์ ไม่รู้เหมือนกัน แต่สำหรับผมแล้ว ผมยอมแบกรับทุกข์ทั้งปวงเอาไว้เองขอให้พี่น้องผองเพื่อนกัลยาณมิตรได้ถึงซึ่งความพ้นทุกข์ ถ้าการบำเพ็ญบารมีของผมต้องการทำเพื่อให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ การตัดสินใจที่ทำแบบนี้ก็อาจจะเป็นการถูกต้องแล้วก็เป็นได้ ผมจะต้องกลับไปเริ่มนับหนึ่งใหม่ หรือนี่คือการผ่านด่านสุดท้าย ไม่มีคำตอบและไม่มีใครตอบข้อสงสัยนี้ ทางเดียวที่ทำได้คือ บำเพ็ญบารมีต่อไปในบารมี10ทัศ มีทาน ศีล ภาวนา เจริญโพชฌงค์๗ เพียรละสังโยชน์๓ข้อต้นให้ได้(ได้ไม่ได้ก็ไม่รู้ แต่หลวงพ่อสอนไว้ก็ต้องทำตามที่หลวงพ่อสอนมา) ทำความเพียรต่อไป ไม่ว่าที่ผ่านมาจะเป็นอย่างไร ปัจจุบันจะเป็นอย่างไร หรืออนาคตจะเกิดอะไรขึ้น เราก็จะยึดเอาไตรสรณคมน์เอาไว้เป็นที่พึ่ง ปฏิบัติตามคำสอนของครูบาอาจารย์ต่อไป เท่านั้นเอง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ศาสตราวุธในโลกวิญญาณ

กรรมมันหนีไม่ได้หรอก

บทนำ นิทานขี้โม้