โลกคู่ขนาน ตอนที่1


โลกคู่ขนาน



               ผมเคยสงสัยว่า บางครั้งผมรู้สึกเหมือนกับว่าเหตุการณ์นี้ได้เคยเกิดขึ้นกับผมมาก่อนแล้ว มีคนๆนั้นนั่งตรงนี้ คนนี้พูดแบบนี้ แล้วคนนั้นจะพูดแบบนั้นแล้วผมก็จะตอบไปแบบนี้ แต่ละคนนั่งอยู่ หรือว่ายืนอยู่ ในตำแหน่งที่ผมคุ้นเคยดีว่ามันเคยเกิดขึ้นมาแล้วแน่ๆ ผมเชื่อว่าหลายๆคนก็เคยมีประสบการณ์อย่างที่เกิดขึ้นกับผม แล้วก็สงสัยว่า มันคืออะไร หรือว่าเราเห็นอนาคต หรือว่าเดจาวู หรือมันมีโลกคู่ขนาน หรือ...อะไรก็ไม่รู้???
               ระยะเวลาใน๑กัลป์ คิดประมาณจากทุกๆ๑๐๐ปี มีนางฟ้า เอาผ้าเช็ดหน้าบางๆมาสะบัดผ่านเขาพระสุเมรุ ๑ ครั้ง จนกระทั่งเขาสุเมรุนั้นราบหายไป นับเป็นระยะเวลา ๑ กัลป์ อย่าว่าโง้นงี้เลยนะครับ ผมว่าผ้าน่าจะขาดไปก่อนแล้วนะครับ ๑๐๐ปี พัดทีนึง แล้วจะว่าไป แรงแค่ผ้าบางๆพัดโบก ผมว่าไม่ต้องก็ได้ครับ ลมพัดผ่าน ฝนตกใส่ ยังจะมีความรุนแรงเสียกว่า จริงๆแล้วนางฟ้าตนนั้น ไม่ต้องมาเสียเวลาเอาผ้าเช็ดหน้าบางๆมาพัดโบกหรอกครับ ผมรู้สึกว่าน่ารำคาญมากกว่า ปล่อยไว้งั้นแหละ ให้ลมพัด ฝนชะ ให้เขาพระสุเมรุ สลายหายไปจะดีกว่ามั๊ง ซึ่งในที่สุดแล้วก็มีนักคณิตศาสตร์คำนวณเอาไว้ อย่างมั่วๆว่า ระยะเวลา ๑ กัลป์ เท่ากับ 10 ยกกำลัง 36 ปี หมายความว่า ต้องพูดคำว่า ล้านไป6ครั้งแล้วลงท้ายด้วยปี อันนี้ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า ขึ้นชื่อว่ามั่วแล้วก็คงจะไม่จริง เหมือนกับนิทานขี้โม้ มันก็ต้องไม่ใช่เรื่องจริง
               สรรพสิ่งทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นมาและกำลังจะเกิดขึ้นต่อไปนั้น ในอดีตกาลนานโพ้น กัลป์ก่อนๆหลายแสนกัลป์ หลายอสงไขยกัลป์ ก็เคยเกิดขึ้นแล้วซ้ำๆกันมา ไม่ทราบว่ากัลป์ก่อนๆหน้าโน้น เคยมีอินเตอร์เน็ต มีสมาร์ทโฟน มี AI มีรถยนต์ เครื่องบิน คอปเตอร์ มีชักโครก มียางพารา กะมีแจ่วบอง ไหม? ถ้าไม่เคยมี แล้วในกัลป์อื่นๆนั้นเขามีอะไรกัน? ถ้าเคยมีแล้ว ต่อไปจากนี้มันจะมีอะไรต่อไปบ้างล่ะ มันหมุนวนไปวนมาอยู่แบบนี้หรือไง?
            เรามักพูดกันถึงมิติของเวลา มิติที่4 แต่ไม่ได้พูดถึงมิติอื่นๆที่ไม่ได้เกี่ยวโยงแค่เวลาเท่านั้น ยังเป็นเหตุการณ์ที่เกิดจากการสะท้อนของการกระทำ Action ที่ก่อให้เกิดผลของการกระทำ Reaction การกระทำหนึ่งก่อให้เกิดอีกการกระทำหนึ่งในมิติอื่นๆได้ เพื่อรักษาสมดุลในตัวของมันเอง เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ที่ออกแรงกระทำไปยังดวงดาวต่างๆในระบบสุริยะ และดวงดาวต่างๆก็ออกแรงกระทำกลับไปยังดวงอาทิตย์เช่นกัน ดวงดาวต่างๆก็ออกแรงกระทำไปยังดวงดาวต่างๆด้วยกันเอง อ่านแล้วก็ชวนให้งุนงงสงสัยเวียนหัวไปด้วยกัน ก็ประสาคนบ้า คิดฟุ้งซ่านไปเรื่อยๆ ออกไปเที่ยวดูดวงดาวต่างๆตามที่จินตนาการเอาไว้ เลยเรื่อยไปยังจักรวาลอื่นๆ มองหาโลกที่เป็นคู่แฝด มีปฏิกิริยา Reaction เกิดขึ้นในที่ใดที่หนึ่งของพิภพเหล่านี้จะมีไหม
               เรื่องราวของนิทานขี้โม้จึงเกิดขึ้น และเป็นปกติธรรมดาที่ต้องกราบขอบารมีองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นประธาน แต่ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องด้วยกับธรรมะ การจะทูลถามอะไรเหล่านี้ที่ไม่ใช่เรื่องในทางธรรมก็ควรจะระมัดระวังให้มาก อย่าเวิ่นเว้อเพ้อเจ้อจะเสี่ยงต่อการเกิดหายนะในการปฏิบัติธรรมได้ง่าย พรหมเทวดาบางท่านก็ไม่เอาด้วยเหมือนกัน จะมีก็เพื่อนสนิทมิตรสหายที่คุ้นเคยกับสันดานขี้สงสัยแบบนี้มาแนะนำไปให้เที่ยวชมในที่ต่างๆ บางทีก็มีการเผลอแหกคอกออกไปเองบ้างก็มี แล้วแบบนี้มันจะเชื่อถืออะไรได้ไหม? ส่วนตัวแล้วค่อนข้างมั่นใจมากว่า เชื่อถืออะไรไม่ได้ คงให้เป็นเพียงจินตนาการสนุกสนาน เป็นนิทานขี้โม้ก็แล้วกันนะ การลาดตระเวนเริ่มแรกเลยก็ไม่รู้จะไปเริ่มจากตรงไหนดี วิธีคิดก็คือไปมันทีละทิศ มีทิศหลักๆ 6 ทิศ ธรรมดาของผมก็จะพุ่งไปทิศเบื้องบนก่อน เรื่องของจิตนี่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่มีความเร็วมากกว่าความเร็วแสง ตามทฤษฎีสัมพันธภาพ ถ้าอะไรก็ตามที่เร็วกว่าแสงได้ ก็จะสามารถข้ามมิติของเวลาไปได้ เพียงแต่วัตถุธาตุใดๆที่มีความเร็วเท่าแสง ความยาวจะมีขนาดอินฟินิตี้ จึงทำให้ทฤษฎีการย้อนเวลา ข้ามเวลา ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง แต่เดี๋ยวก่อนนะ ถ้าโฟตอนเป็นพลังงาน สามารถเปลี่ยนไปเป็นอนุภาคได้ อนุภาคก็สามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานได้เช่นกัน ถ้าอนุภาคเปลี่ยนเป็นพลังงานแล้วก็จะไม่มีมวลให้ขยายตัวเป็นอินฟินิตี้ได้ ดังนั้นถ้าพลังจิตเป็นพลังงาน และพลังจิตก็สามารถเปลี่ยนเป็นอนุภาคหรือมวลได้ ดังนั้นการเคลื่อนผ่านมิติของการเวลาด้วยพลังจิต ก็สามารถจะทำได้เช่นกัน
               ความบ้าของนักวิทยาศาสตร์ที่อยากจะฝึกสมาธิในหมวดอภิญญาก็เป็นแบบนี้เองแหละนะ ไหนๆมันก็บ้าไปแล้ว คงจะไม่มีอะไรที่คนบ้าทำไม่ได้ล่ะมั๊ง(นอกจากเรื่องดีๆ) ว่าแล้วก็เริ่มสำรวจไปทีละทิศ ทะลุผ่านสุริยะจักรวาลไปได้ในชั่วขณะจิตเดียว ทะลุข้ามจักรวาลอื่นๆออกไป ระยะทางล้านปีแสงนี่ จิตไปถึงได้ในชั่วลัดนิ้วมือเดียวเท่านั้นเอง สำหรับท่านที่ทรงอภิญญาเต็มกำลัง การที่จิตไปถึงได้กายก็ไปถึงได้พร้อมๆกัน แต่ว่าการไปถึงของกายนั้น ก็ต้องอาศัยกสิณอากาศร่วมด้วยเพราะบางที่อากาศก็เบาบางมาก บางที่ไม่มีอากาศให้หายใจ บางที่ร้อนมาก บางที่หนาวมาก ร่างกายปกติอยู่ไม่ได้ ก็ต้องอาศัยกำลังของกสิณกองต่างๆเข้ามาช่วย ซึ่งการไปด้วยจิตยังไงก็สะดวกกว่ามาก เมื่อพุ่งออกไปแล้วเวลาเหลียวกลับมามองดูสุริยะจักรวาล เอาไปเปรียบเทียบกับจักรวาลอื่นๆดู ก็รู้สึกว่าสุริยะจักรวาลนี้ทำไมมันช่างเล็กนิดเดียวเอง จักรวาลอื่นๆโดยมากจะมีขนาดใหญ่กว่าสุริยะจักรวาลแทบทั้งนั้น มีขนาดใหญ่กว่าร้อยเท่าพันเท่าก็มี
               สุริยะจักรวาลแม้จะดูไม่ใหญ่อะไร แต่ก็ส่องสว่างสวยงามพอดิบพอดี ที่ว่าแบบนี้ก็เพราะจักรวาลอื่นๆ มีที่แสงสว่างเจิดจ้า ก็มีความสว่างมากเกินไปจนยากที่จะอยู่อาศัยได้ บางจักรวาลก็ไม่มีแสงสว่างเลย บางจักรวาลก็มีแสงเรืองๆขมุกขมัว แต่สุริยะจักรวาลนี้สว่างไสวกำลังพอดี ไม่จ้าเกินไปแล้วก็ไม่มืดเกินไป หากจะให้จินตนาการแล้วระบบสุริยะจักรวาลก็คล้ายๆผลแตงโม ที่มีก้อนหินเล็กใหญ่ รายล้อมลอยไปลอยมาคล้ายๆกับเปลือกแตงโม เพื่อแบ่งขอบเขตสุดระยะของจักรวาลหนึ่งๆ บางช่วงก็มีก้อนหินน้อยใหญ่หนาแน่น บางช่วงก็เบาบางมาก ก้อนหินเหล่านี้ก็ลอยไปลอยมาล้อมกรอบเอาไว้เพื่อให้รู้ว่านี่เป็นของเขตของจักรวาลนี้แล้วนะ กับจักรวาลที่รายล้อมอยู่รอบสุริยะจักรวาล ก็มีแรงกระทำ Action และแรงที่ถูกกระทำ Reaction ด้วยเช่นกัน แม้ก้อนหินที่รายล้อมรอบและหมุนวนรอบไปในระบบสุริยะจักรวาลก็ยังถูกแรงกระทำของจักรวาลอื่นที่ล้อมรอบนี้ผลักและดึงให้เกิดความสมดุลของรูปทรงสุริยะจักรวาลด้วยเช่นกัน หันไปจะถามท่านผู้มีพระคุณที่มาสงเคราะห์ในครานี้ ก็บังเอิญว่าท่านไม่ได้จบทางด้านควอนตัมฟิสิกส์มาเสียด้วย อธิบายเป็นสมการให้ฟังไม่ได้ ได้แต่ภาษาชาวบ้านๆนี่เองว่า จักรวาลทั้งหลาย ไม่ใช่มีเป็นเอนกอนันต์นับไม่ได้หรอก มันก็มีสุดขอบเขตที่จักรวาลเหล่านี้รวมตัวกันอยู่ แล้วที่พึ่งรู้ก็คือว่า จักรวาลทั้งหมดนี้ รวมถึงสุริยะจักรวาลด้วย ก็ยังมีการเคลื่อนตัวไปมา ไม่ได้อยู่นิ่งๆแบบเสถียรๆเหมือนอย่างที่เราเคยเข้าใจเอาเองแบบนั้น แต่ละจักรวาลยังมีการเคลื่อนตัวกันไปในอวกาศ เพื่อปรับสมดุลการเกิดแรงกระทำและถูกกระทำต่อกัน เพียงแต่ไม่ได้เคลื่อนที่ในทิศทางเดียว ไม่ได้มีการหมุนวน การเคลื่อนตัวไปมา คล้ายๆกับกลุ่มอะมีบา พารามีเซียม ที่เคลื่อนที่อย่างไร้ทิศทางแต่ก็เป็นการปรับสมดุลให้เกิดความเสถียรของระบอบจักรวาลทั้งหมด ยืนดูๆไปนานๆก็ชักจะเบื่อเสียแล้วครับ ว่าแต่ว่า มันมีดาวดวงไหนในจักรวาลที่มีสิ่งมีชีวิตแบบเดียวกับโลกแล้วมีตัวเราอีกตัวนึงปรากฎอยู่บ้างหรือเปล่า? เอาไว้เล่าต่อตอนต่อไปละกัน ชักจะยาวไปล่ะ


ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ศาสตราวุธในโลกวิญญาณ

กรรมมันหนีไม่ได้หรอก

บทนำ นิทานขี้โม้