โลกคู่ขนาน ตอนที่ 2


โลกคู่ขนาน ตอนที่2


          การจะไปตามหาดวงดาวในจักรวาลอื่นที่มีตัวเราอีกคนนึง หรือมีสภาพแวดล้อมเหมือนโลก แต่ว่ากลับขั้วกลับข้างกัน เช่นเราในโลกนี้เป็นคนดี รูปหล่อ อีกโลกนึงจะเป็นคนเลว รูปชั่ว ตัวดำ ทำนองนี้ มันจะไปไล่หาทีละจักรวาล ทีละดวงดาว ชาตินี้ท่าทางจะไม่เสร็จสมประสงค์แน่นอน แล้วก็ไม่มีใครเขาโง่ทำกันแบบนั้นหรอกนะ ทางที่ดีก็อาศัยถามเอาจากท่านผู้มีพระคุณว่า ในจักรวาลทั้งหลายนี้ มีจักรวาลไหนบ้างที่มีสิ่งมีชีวิตที่รูปร่างหน้าตา สภาพแวดล้อม แบบเดียวกับโลกใบนี้บ้าง ท่านก็จะทำภาพต่างๆให้ดูว่ามีดาวดวงไหนในจักรวาลใด มีสิ่งมีชีวิตที่รูปร่างหน้าตาคล้ายคนบ้าง ซึ่งก็มีหลายจักรวาลด้วยกัน มีดาวหลายดวงที่มีสิ่งมีชีวิตที่รูปร่างหน้าตาคล้ายๆกับคน แต่สภาพแวดล้อมก็แตกต่างกันไป ไม่มีที่ใดจะเหมือนกับโลกใบนี้เลยแม้แต่ดวงเดียว ถามไปถึงดวงดาวที่มีคนอาศัยอยู่ อันมีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับข้าพเจ้า มีพฤติกรรมในช่วงเวลาหนึ่งๆคล้ายคลึงกับข้าพเจ้า อันนี้ก็ปรากฏว่าไม่มีเลยเหมือนกัน เป็นอันว่า ณ เวลาขณะเดียว ขณะนี้ สิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างหน้าตาอย่างเรา กำลังทำ หรือคิด หรือพูด แบบเดียวกับที่เรากำลังทำ หรือตรงกันข้ามกับที่เรากำลังทำอยู่นั้น สำรวจแล้วว่า “ไม่มี”
          ใช่แล้วครับ ผมยังมีเรื่องสงสัย สงสัยในสิ่งต่างๆที่ได้เขียนเอาไว้ในตอนแรกแล้วว่า สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ซึ่งการตั้งคำถามผิด การค้นหาคำตอบของคำถามก็ผิดไปด้วย การไปเที่ยวหาดวงดาวที่จะมีสิ่งมีชีวิตอย่างที่เราเป็นในเวลานี้นั้น ย่อมไม่มี เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นตามคำถามของตอนแรก มันเป็นมิติเวลาที่ทับซ้อนกัน และในมิติเวลาก็มีแกนของเวลาที่แตกต่างกันไปอีก การจะค้นหาคำตอบของข้อสงสัยจากตอนแรก จึงต้องอาศัยการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมิติเวลาของมิติอื่นๆ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จึงเรียนถามใหม่ว่า เหตุการณ์ต่างๆที่กำลังดำเนินไปนี้ และจะดำเนินต่อไปนั้น ได้เคยเกิดขึ้นแล้วหรือไม่ ท่านผู้มีพระคุณก็ยืนยันว่า เคยเกิดขึ้นมาแล้ว โลกที่มีวิทยาการทุกวันนี้เคยเกิดขึ้นแล้ว เมื่อหลายอสงไขยกัล์ป เป็นไปตามวัฏจักร หมุนเวียนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เกิดใหม่ ทั้งวิทยาการต่างๆที่เคยเกิดขึ้นแล้ว และจะเกิดขึ้นต่อไป ต่างก็เคยเกิดขึ้นแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ดวงจิตต่างๆที่เคยเกิดขึ้นแล้ว เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมา จนเกิดเป็นประสบการณ์ความทรงจำในอดีต เมื่อหมุนเวียนกลับมาในปัจจุบันก็ได้ระลึกถึงความรู้สึกหนหลังที่เคยเกิดขึ้นซ้ำแล้ว บางครั้งก็ทำให้เกิดความรู้สึกคล้ายๆจะรู้แล้วว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น
          นิทานตอนนี้คล้ายๆจะเข้าใจ แต่แล้วก็งงๆยังไงไม่ทราบเหมือนกัน ตกลงว่าเหตุการณ์ทั้งหลายที่กำลังประสบอยู่ทุกวันนี้ มันได้เคยเกิดขึ้นแล้วในอดีตที่นานแสนนาน เป็นการเกิดซ้ำแบบเดจาวู เทคโนโลยีที่กำลังเกิดขึ้นนี้ก็เคยเกิดขึ้นแล้วในอดีต แล้วในอดีตก็ยังมีเทคโนโลยีอีกมากมายที่เคยเกิดขึ้นแล้วและดับไป ซึ่งจะเกิดขึ้นในอนาคตใหม่ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งก็ได้ อันเป็นไปตามกฎแห่งกรรมที่กำหนดเอาไว้แล้ว แล้วใครเป็นคนกำหนดกฎแห่งกรรมทั้งหลายเหล่านี้ คำตอบอย่างรวดเร็วมากคือ พวกแกไงล่ะ จริงๆแล้วน่าจะหมายถึงสรรพสัตว์ทั้งหลายที่เวียนตายเวียนเกิดในภพภูมิทั้งสามนี้เองที่เป็นผู้กำหนดกฎแห่งกรรมขึ้น โดยประพฤติของสัตว์โลกทั้งหลายเป็นกรรมที่ก่อให้เกิดกรรมใหม่ จนกลายเป็นวัฏฏะสงสารอันแก้ไขได้ยากนี่เอง
          อุตส่าห์ไปเที่ยวดูจักรวาลคู่ขนานแล้ว จะไม่ดูจักรวาลอื่นเลยก็เห็นจะน่าเสียดายอยู่ ส่วนดาวจามร ตอนจุไรท่องดวงดาว หลวงพ่อท่านได้บันทึกเอาไว้แล้ว สมัยที่ยังท่องญาณ ๘ ก็ถูกให้ไปดูด้วยเหมือนกัน ดังนั้นท่านที่สนใจก็สามารถไปหาอ่านที่หลวงพ่อบันทึกเอาไว้ได้ สมัยนั้นตอนที่ไปเจอคนที่ดาวจามร ทั้งผู้หญิงผู้ชายที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ทั้งหลาย ก็ไม่ได้ลืมถามเรื่องความรู้ วิทยาการ เทคโนโลยีต่างๆ เผื่อว่าจะสามารถเอามาใช้ที่โลกเราได้ ผลของการไปสอบถามสมัยนั้น ท่านเหล่านั้นก็บอกว่ามันต้องใช้เวลาเรียนรู้ยาวนาน อายุขัยของคนบนโลกไม่เพียงพอที่จะเรียนรู้จนสามารถเอามาใช้ได้ น่าจะตายเสียก่อน และอีกอย่างหนึ่งคือ วัตถุธาตุที่แตกต่างกัน ทำให้คนบนโลกนี้แม้จะเรียนรู้ไปก็ไม่สามารถทำได้ ด้วยไม่มีวัตถุดิบ จึงป่วยการจะสอนให้เข้าใจ แต่ผมว่าเขาน่าจะหวงวิชามากกว่า เทคโนโลยีบางอย่างไม่ต้องใช้เวลาเรียนเป็นร้อยปีหรอกมั๊ง คนพวกนั้นอายุขัยประมาณ 600 ปี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องใช้เวลาเรียน 300-400 ปีหรอกนะ เรียนจริงๆจังๆก็ไม่น่าจะเกิน50ปี ที่เหลือก็เอาไปใช้งาน แล้วเทคโนโลยีบางอย่างที่พัฒนาสำเร็จรูปเอาไว้แล้ว ก็น่าจะเอามาใช้ได้เลยแบบไม่ต้องใช้เวลาในการศึกษาค้นคว้าให้มากมายด้วย แต่สุดท้ายแล้วก็คือเขาจะไม่สอนอ่ะนะ เดินเลี่ยงไปบ้าง หนีไปคุยเรื่องอื่นบ้าง ก็ไม่เป็นไร มาว่าต่อถึงสมัยที่ยังสงสัยเกี่ยวกับ สิ่งมีชีวิตในดวงดาวอื่นๆ การใช้ชีวิตที่แตกต่างกันไป มันก็มีอยู่ดาวนึงที่น่าสนใจ ดาวนี้ไม่ค่อยมีแสงสว่าง อยู่ห่างไกลแสง มีความสว่างเพียงสลัวๆ พื้นดินเป็นฝุ่นเสียมากกว่า สิ่งมีชีวิตที่นี่มีรูปร่างใหญ่ คล้ายๆช้างแต่ว่าโดนตัดหัวออก จะเหลือตัวกลมโตมีขนาดใหญ่ ขามีขนาดใหญ่แต่ว่าสั้น เวลาเดินถ้าไม่สังเกตจะนึกว่าตัวทากเดินได้ แต่จริงๆแล้วเป็นเท้า เท้าแบนๆกว้างๆ แต่ว่าสั้นๆ เคลื่อนที่ได้ช้าๆ อาศัยว่าตัวใหญ่ยังกะตึก เวลาเคลื่อนที่ไปก็จะมีระยะทางมาก แม้ว่าจะก้าวได้สั้นๆ ดาวนี้มีลมหมุนรุนแรงมาก อากาศค่อนข้างหนาวเย็นยะเยือก ไอ้เจ้าตัวนี้มันกินอะไร เพราะมองไปก็มีเห็นแต่ฝุ่นดิน ต้นไม้ใบหญ้าไม่เห็นมีเลยสักต้นเดียว น้ำ บ่อน้ำ ก็ไม่มี สิ่งที่เห็นว่าเจ้าตัวนี้มันกินคือ กินดินฝุ่นนี่เอง ในฝุ่นดินนี้มีแร่ธาตุต่างๆเป็นอันมาก เพียงพอต่อการดำรงชีวิตของสัตว์ชนิดนี้ได้ แต่ว่ากินเข้าไปแล้วร่างกายมันทำงานยังไง สืบสายขยายพันธุ์ยังไง อันนี้ไม่ทราบได้ เพราะว่าไม่ได้ไปสนใจลงลึกขนาดนั้น เพียงแต่เห็นว่าแปลกๆดี ก็เลยเอามาเล่าสู่กันฟัง ประสานิทานขี้โม้เท่านั้นเอง


ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ศาสตราวุธในโลกวิญญาณ

กรรมมันหนีไม่ได้หรอก

บทนำ นิทานขี้โม้