ชาติหน้า



ชาติหน้า


                เมื่อยี่สิบปีก่อนผมเคยทำนายเอาไว้ว่า อีก50ปีข้างหน้า แหล่งน้ำจะกลายเป็นสิ่งที่มีค่าและมีความสำคัญ เพราะแหล่งน้ำสะอาดจะหายาก ภูมิอากาศที่แปรปรวน ทำให้การเกษตรมีปัญหา ผลผลิตไม่เพียงพอ ต้องปลูกในอาคาร ซึ่งน้ำจะเป็นองค์ประกอบสำคัญในการดำเนินชีวิต
                ในอนาคตคนกับหุ่นยนต์แทบแยกกันไม่ออก เพราะมีการปลูกถ่ายไมโครชิฟที่ทำจากไฮโดรคาร์บอนและอนุพันธุ์ของโปรตีนเพื่อให้คนกับหุ่นยนต์ประสานเข้าด้วยกันได้ การเรียนการสอนจะเปลี่ยนรูปแบบไป ไม่ต้องนั่งเรียนในห้องเรียนอีกแล้ว คนจะเลือกเรียนสิ่งที่ต้องการได้โดยตรง
                ศาสนา และ พระเจ้าจะค่อยๆหมดความสำคัญลง เขตแดนแต่ละประเทศจะไม่มีอีกต่อไป ข้อมูลทั่วโลกจะรวมศูนย์และกระจายออกไปทั่วทุกๆที่บนโลก เชื่อมคนทั้งโลกเอาไว้ด้วยกัน การเดินทางด้วยรถยนต์และเครื่องบิน จะกลายเป็นเรื่องโง่เขลา
                ไม่ใช่อนาคตังสญาณหรอกครับ เป็นข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่มีการตั้งเป้าหมายในการวิจัยและพัฒนาด้านเทคโนโลยี ที่จะมีการก้าวกระโดดเป็นอนุพันธ์ของเลขกำลังสอง คือระยะเวลาจะหดลง2เท่าขณะที่เทคโนโลยีจะก้าวหน้าเร็วขึ้นเป็น2เท่า และทวีคูณขึ้นไปเรื่อยๆ
                โดเรมอน คือแรงบันดาลใจของนักจินตนาการที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ก้าวไปให้ถึงจินตนาการในส่วนนั้น หลายๆคนคงมีความฝัน มีจินตนาการเช่นกัน ในทางพุทธศาสนา มันคือสังขาร ปรุงแต่งเรื่องราวต่างๆขึ้นมา จนก่อให้เกิดอุปาทาน คือความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งเหล่านี้ เฝ้ารอ แล้วคอยหาสิ่งต่างๆมาสนับสนุนในความเชื่อที่ตนคิดตนหลงนั้น
                ในห้วงเวลาของการฝึกกรรมฐาน คงมีสักครั้งที่อยากรู้ว่าขณะที่เรากำลังจะตาย เวลานั้นเราตายที่ไหน ตายยังไง เวลาเราตายมีใครอยู่กับเราด้วย และตายแล้วไปไหน?
                ความอยากรู้อยากเห็นย่อมมีเป็นธรรมดาสำหรับปุถุชน คือบุคคลที่ยังหนาแน่นไปด้วยกิเลส เมื่อเป็นเช่นนี้เวลาเริ่มฝึกกรรมฐานก็ระลึกหรือตรึกเรื่องนี้เอาไว้ จากนั้นก็ต้องละทิ้งเสีย หาไม่แล้วจิตก็ไม่สามารถรวมลงเป็นสมาธิได้ เพราะอาศัยความอยากรู้อยากเห็น เป็นตัณหานี่เอง เมื่อถึงเวลาก็กราบพระ เข้าสู่การเจริญกรรมฐาน สักพักหนึ่งก็ได้พบกับพระและครูบาอาจารย์ ท่านเหล่านี้มีความรู้พิเศษที่รวดเร็วมาก จะคิดดีคิดชั่วอย่างไรท่านทราบทุกอย่าง ยังไม่ทันกราบเรียนถาม ท่านผู้มีพระคุณท่านได้นำไปให้เห็นสภาพวาระการตายของผม เวลานั้นก็เห็นผู้ชายแก่คนนึง จริงๆก็แก่แล้ว แต่ว่าดูสาระรูปแล้วยังเหมือนคนอายุ 60 ปี ใส่ชุดขาว นอนตะแครงนิดๆไปทางขวา ฝั่งซ้ายมือมีเด็กผู้หญิงอายุสัก 14-15 ปียืนดูแลอยู่ เวลานั้นก็รู้สึกได้ว่าเด็กผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ลูกสาวเรา แต่ว่ามาช่วยดูแลในยามใกล้ตาย สถานที่ตายก็เป็นสถานพยาบาลที่ห่างไกลความเจริญ  เป็นชนบทห่างไกล ขณะที่จิตกำลังจะออกจากร่าง ก็เห็นองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับยืนที่มุมขวาของหัวเตียง เห็นหลวงพ่อปาน หลวงพ่อฤษี ท่านยืนยิ้มด้วยเมตตามาก ในใจเวลานั้นก็รู้ว่าท่านมารับแล้ว เวลานั้นไม่รู้สึกกลัวตาย ไม่เจ็บปวดอะไร กำลังใจเป็นปกติ คือไม่ได้ดีใจ ไม่ได้เสียใจ ไม่ได้ยินดี ไม่ได้ยินร้าย มีใจเคารพรักในองค์สมเด็จฯและหลวงพ่อเป็นอันมาก ภาพที่เห็นก็เป็นแบบนี้ จากนั้นก็ไม่ได้รับรู้อะไรอีก
                เรื่องว่าตายแล้วจะไปนิพพานได้ไหม เวลานั้นไม่ทราบ แต่จะว่าไม่ทราบก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะก็ทราบว่าเข้าพระนิพพานไม่ได้ในชาตินี้ คือว่ายังมีคำมั่นสัญญา และยังมีความเลวในใจอยู่ คงยังต้องฝึกฝนจิตใจตนเองอีกมาก มากขนาดไหนนี่นับไม่ถ้วนเหมือนกัน จึงระลึกหรือตรึกขึ้นมาในใจว่า ชาติหน้าหากข้าพเจ้าจะต้องเกิดอีก จะไปเกิดในที่ใด มีสภาพเป็นอย่างใด กราบเรียนถามพระและครูบาอาจารย์ด้วยความเคารพ แล้วก็ทรงกำลังจิตไว้เฉยๆอย่างนั้น ก็ปรากฏว่าเห็นตัวเองเป็นเด็กอายุสัก 4-5 ขวบ เสื้อไม่มี ใส่กางเกงขาสั้นสีดำ นั่งคลุกขี้ฝุ่นอยู่กับพื้น มองไปรอบๆก็เห็นผู้หญิงผู้ชาย วิ่งไปมาวุ่นวายกัน ฝุ่นตลบ มองไปหาสีเขียวของต้นไม้ใบไม้ไม่มี คนแก่โดนทุบตีก็ไม่มีใครช่วย ใครอยากได้ผู้หญิงคนไหนก็ตรงเข้าไปฉุดคร่าเอาไปมีเพศสัมพันธุ์ด้วย เสร็จแล้วก็ฆ่าทิ้งบ้าง ทุบตีทำร้ายร่างกายบ้าง ไม่มีปืน ไม่มีอาวุธอะไรมาก มีท่อนไม้บ้าง มีมีดดาบบ้าง ผู้คนไม่รู้จักศีลธรรม ทุบตี เข่นฆ่ากัน นี่มันกลียุคทุกข์เข็ญโดยแท้ บ้านช่องก็เป็นเหมือนซากปรักหักพัง ไม่รู้มันเกิดอะไรขึ้น เห็นภาพตัวเองยังเป็นเด็ก ต้องคอยหลบจากการถูกเหยียบ ร้องไห้ แต่ก็ไม่รู้จะร้องไห้ไปทำไม เพราะไม่มีใครสนใจ จะหาคนช่วยก็ไม่เห็นว่าจะมีใครช่วยได้ เพราะลำพังแต่ละคนก็วิ่งวุ่นหนีตายกัน ไม่มีเวลาสนใจช่วยเหลือใคร
                ออกจากสมาธิมาก็ให้ระลึกในนิมิตที่เห็นว่า นี่เราไปอุปาทานจากความคิดฝังใจอะไรหรือไม่ ก็เห็นว่าอุปาทานที่ควรจะเกิดคือโลกอนาคตที่มีหุ่นยนต์ เทคโนโลยี ที่ให้มนุษย์อยู่ด้วยกันอย่างสุขสบาย ไม่เคยมีภาพเหตุการณ์แบบนี้อยู่ในหัวเลย จะว่าอุปาทานก็ไม่น่าจะใช่ จะว่าเรื่องจริงในอนาคตก็ไม่น่าจะใช่เช่นกัน ความสงสัยในนิมิตเหล่านี้ก็ปล่อยผ่านไป เพราะการสงสัยในเรื่องพวกนี้ก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรในการขัดเกลากิเลสเลย แค่เด็กเล่นสนุกไร้สาระ
                เมื่อไม่ได้สนใจก็ไม่มีอะไร แต่ว่าในวาระหนึ่ง ก็ให้ระลึกว่านิมิตนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วก็เพิกเสียซึ่งความสงสัย เวลานั้นท่านผู้มีพระคุณก็ได้เล่าให้ฟังว่า ช่วงเวลาที่ต้องไปเกิดนั้น เป็นเหตุการณ์หลังยุคการเกิดสงครามครั้งใหญ่ โลกทั้งใบถูกทำลายเกือบหมดสิ้น เทคโนโลยีต่างๆที่เคยเจริญมานั้นถูกทำลายลงจนหมดสิ้น หลายสิบปีผ่านไป ผู้คนอดอยาก ขาดเครื่องมือ และเริ่มใช้ชีวิตอย่างสัตว์ที่ต้องเอาตัวรอด ศีลธรรมไม่มี ศาสนาไม่มี ชีวิตคนส่วนใหญ่ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากแสนสาหัส ไอ้เราก็ร้อง อ้าว...แล้วทำไมผมต้องไปเกิดในห้วงเวลาแบบนี้ด้วย แบบนี้จะไปบำเพ็ญภาวนา เจริญกรรมฐาน ฝึกฝนจิตใจอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้สิครับ แล้วสภาพหนุมานคลุกฝุ่นแบบนั้น เห็นทีจะไม่ไหวครับ จะเกิดมาเพื่อให้ทุกข์ทรมานขนาดนั้นกระผมคงต้องขอลาล่ะครับ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสด้วยเมตตาว่า เธอปรารถนาจะช่วยให้สรรพสัตว์ทั้งหลายพ้นทุกข์ จะช่วยได้อย่างไรหากไม่เข้าใจความทุกข์ของสรรพสัตว์ทั้งหลายว่ามีอย่างไรบ้าง การจะบำเพ็ญบารมีเพื่อที่จะช่วยให้สรรพสัตว์ทั้งหลายพ้นทุกข์นั้น ก็ต้องเผชิญกับทุกข์ทั้งหลายที่สรรพสัตว์จะประสบพบเจอ จึงจะเข้าใจแจ้งในทุกข์ทั้งหลาย เพื่อจะได้แนะนำหนทางพ้นทุกข์ให้สรรพสัตว์ที่มีนิสัยแตกต่างกันได้ หากเกิดมาได้พบประสบแต่ความสุข สนุกสนาน สะดวกสบาย แล้วจะบรรลุธรรมเพื่อโปรดสัตว์ทั้งหลายให้พ้นทุกข์จะเป็นไปได้อย่างไร
                ธรรมทั้งหลายทั้งปวงจบลงที่ทุกข์เพียงตัวเดียว การบรรลุธรรมก็อาศัยเพราะความทุกข์เป็นเหตุ ไม่ใช่อาศัยความสุขเป็นเหตุ การบรรลุธรรมจึงเป็นการแจ้งในทุกข์ทั้งปวง ไม่ใช่การแจ้งในสุขทั้งปวง ก็เพราะทุกข์มิใช่หรือที่จะทำให้เข้าถึงธรรม หาใช่สุขที่จะทำให้เข้าถึงธรรม ถ้าสรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนแล้วแต่มีความสุข พระนิพพานก็ไม่มีความจำเป็น แต่เพราะทุกข์ของสรรพสัตว์นี้เอง การบำเพ็ญบารมีจึงต้องอยู่กับความทุกข์ไม่ใช่อยู่กับความสุข ยิ่งทุกข์มาก บารมีคือกำลังใจก็ยิ่งมีมากขึ้น เป็นคำอธิบายที่ไม่เคยคาดคิด หรือว่าคาดไม่ถึงว่าการปรารถนาให้สรรพสัตว์ทั้งหลายพ้นทุกข์จะต้องเจอกับทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงแบบนี้ นึกว่าจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ มีเมียแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว ลูกแก้ว เกือกแก้ว มีทรัพย์สมบัติมากมาย มีเมียสวยๆหลายคน มีแต่คนเคารพนบนอบ ไอ้เรามันก็บ้าหลงงมงายไปเอง ถ้ามันสุข สนุกสนาน สะดวกสบาย หลวงพ่อท่านเหลืออีก 7 ชาติ  ท่านคงไม่ลาหรอก มันสาหัสเข้าไปทุกที ผมว่าผมจะไม่ไหวนะครับ ผมมันใจหมายังไม่ได้ใจเทพ จะว่าไปแล้วพระโพธิสัตย์ท่านก็มีอีกกว่าแสนองค์ ไอ้เรานี่ไม่ได้มีความจำเป็นอะไรเลย 

             ว่าแล้วก็กราบพระท่านขอไปสวรรค์ชั้นดุสิต ไปกราบพระโพธิสัตย์ที่ท่านบำเพ็ญบารมีจนเต็มครบหมดแล้ว รอการลงมาตรัสรู้ ก็เห็นท่านยืนรอต้อนรับน้องใหม่อยู่ เต็มบริเวณไปหมด แต่ละองค์มีแสงสว่างเจิดจ้า แต่ก็ไม่น่าเคารพกราบไหว้เท่ากับการที่ท่านทั้งหลายได้ฝ่าฟันทุกข์ยากแสนสาหัสจนสร้างบารมีผ่านมาให้เต็มกำลังได้ ความเมตตา กรุณา หาที่สุดที่ประมาณไม่ได้ ข้าพเจ้าผู้ใจหมา เห็นทีจะไปไม่ไหวแน่นอนครับ เวลานั้นก็เหมือนจะมีองค์ที่ท่านรู้จักคุ้นเคยกันมา ก็ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า กำลังใจคุณยังอ่อนอยู่ก็เป็นแบบนี้เอง เมื่ออดทน มุมานะพยายาม สรรพทุกข์ทั้งหลายก็สามารถฝ่าฟันผ่านพ้นไปได้เอง กำลังพระโพธิสัตย์นี้ไม่มีตายโหงนะ จะตกทุกข์ได้ยากลำบากยังไง ตายก่อนอายุขัยนั้นไม่มี (ก็ไม่ได้ช่วยให้ใจชื้นขึ้นมาแต่อย่างใด) ก็กราบเรียนถามท่านว่า เวลาตกทุกข์ได้ยากลำบากขนาดนั้น ท่านทั้งหลายที่มีบารมีเต็มแล้วพอจะสงเคราะห์ให้พ้นจากทุกข์ยากแสนสาหัสไปได้บ้างไหม ท่านก็ตอบว่าบางครั้งก็ได้ บางครั้งก็ไม่ได้ เพราะหากคอยช่วยเหลืออยู่แล้วเมื่อไหร่บารมีท่านจะเต็มเล่า พวกเราทั้งหลายต่างก็ล้วนฟันฝ่าอุปสรรคและทุกข์ยากแสนสาหัสกันมาแล้วทั้งนั้น ก็สงสัยว่าช่วงเวลาที่จะมีความสุขอย่างชาวบ้านเขาบ้างนี่จะไม่มีเลยหรือครับ ท่านก็ว่าก็มีบ้างแต่ว่าน้อย โดยมากต้องทุกข์ทุกอย่าง พระโพธิสัตย์2ท่านที่ตอบนั้นก็ตอบด้วยความเมตตา ยิ้มน้อยๆ เหมือนตอบคำถามโง่ๆของเด็กน้อย องค์อื่นๆท่านก็ยืนยิ้มน้อยๆด้วยเมตตา องค์ต้นที่มีกำลังบารมีสูงสุดเวลานี้ คือพระศรีอาริยเมตตรัย ไม่ทรงตรัสอะไร นั่งคุกเข่าพนมมือถาม ก็จนใจกับคำถามโง่ๆของตัวเอง ไม่รู้จะถามอะไร ดูตัวเองเวลานั้นมันก็น่าสมเพชดีแท้ หรือจะว่ากระจอกมากก็ได้ นึกว่าพระโพธิสัตย์ท่านมีความดีสูงสุด มีจำนวนนับแสนองค์ในเวลานี้ ขาดข้าพเจ้าไปสักคนนึงก็ไม่ได้มีผลอะไร หากมีโอกาสจะเป็นไปได้ ข้าพเจ้าก็คิดว่าจะหนีเอาชาตินี้แหละครับ เพราะสรรพสัตว์ทั้งหลายมีผู้พร้อมจะมาโปรดเยอะมากพอแล้ว ข้าพเจ้าไม่มีความสำคัญจำเป็น กระจอกอย่างนี้ ขอตามหลวงพ่อไปดีกว่านะครับ คำตอบเวลานั้นก็ไม่มี เพราะต้องขึ้นกับองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า จะโทษก็ต้องโทษตัวเองว่าไม่เจียมตัวเอง กระจอกก็ควรอยู่อย่างกระจอกเจียมเนื้อเจียมตัว คิดจะทะยานไปพร้อมกับพญาอินทรีย์มันก็เป็นแบบนี้แหละ ชาติหน้าถ้าต้องเกิดอีก เตรียมใจเอาไว้ละกัน....

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ศาสตราวุธในโลกวิญญาณ

กรรมมันหนีไม่ได้หรอก

บทนำ นิทานขี้โม้