สัมภเวสี 1






สัมภเวสี ผีไม่มีญาติ


                การตายเมื่อยังไม่หมดอายุขัย ด้วยวิบากกรรมจากปานาติบาตรมาตัดรอนเสียก่อน จะตายด้วยอุบัติเหตุ หรือตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บ การฆ่าตัวตาย การถูกฆาตกรรม ตรอมใจตาย จะตายด้วยเหตุอันใดก็ตาม เมื่อยังไม่หมดอายุขัย ก็ไม่สามารถไปเสวยผลกรรมอันประกอบด้วยกรรมดี กรรมชั่ว หรือเรียกอีกอย่างว่า ผลบุญ ผลบาป ต่างๆได้ ซึ่งทุกๆท่านก็ทราบกันดีอยู่แล้ว 

                สมัยก่อน ตอนที่ยังเริ่มฝึกมโนมยิทธินั้น ก็มีความสงสัยในหลายๆอย่าง ครูฝึกท่านก็พาไปเที่ยวดูโน่นนี่นี่นั่นไปเรื่อยๆ ในเรื่องของอดีตชาติบ้าง บุพกรรมในอดีตที่ส่งผลมาในปัจจุบันนี้บ้าง กรรมของสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเหตุให้ต้องได้รับความสุข หรือความทุกข์ ทำให้เห็นสิ่งหนึ่งว่า เรื่องราวทั้งหลายที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยขาดเหตุปัจจัย แทบทุกเรื่องเกิดขึ้นจากการกระทำหรือกัมมะ ในอดีตแทบทั้งสิ้น ที่ต้องเรียกว่าแทบทั้งสิ้นก็เพราะมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่เราต้องอาศัยกำลังใจ กำลังสติปัญญาของเราเองในการทำเหตุในปัจจุบันนี้ เมื่อประมวลลงไปแล้วจึงได้เข้าใจคำว่า “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” และ “ไม่มีใครใหญ่เกินกรรม” ผลที่เกิดในวันนี้ ย่อมมีเหตุที่เกิดจากวันนั้น ปัจจัยที่ต้องพร้อมด้วยนั้นคือ คู่กรรมที่เคยร่วมกันมา ได้มาเกิดร่วมภพชาติด้วย ณ สถานที่อันจะมีปัจจัยทั้งหลายพร้อม เวลาที่จะต้องเกิดเรื่องนั้นๆ ที่บางคนเรียกว่าที่ตาย มันต้องเป็นที่ที่นี้และต้องเป็นเวลาเวลานี้เท่านั้นเสียด้วย ดังเช่นเรื่องเล่ากันว่า ลูกศิษย์หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม เป็นไอ้เสือ แขวนพระหลวงพ่อเงิน ยิงฟันไม่เข้า จนอยู่มาวันหนึ่งโดนตำรวจยิงตาย ลูกศิษย์ทั้งหลายสงสัยในวัตถุมงคลของหลวงพ่อเงินว่า คงจะเสื่อมเสียแล้ว หลวงพ่อเงินไปที่ศพของลูกศิษย์ที่แขวนพระท่านไว้แล้วบอกให้ ลากศพห่างจากจุดเดิมออกมาสัก 2 วา จากนั้นให้ลองยิงใหม่ ก็ปรากฏว่ายิงไม่เข้าแม้แต่นัดเดียว หลวงพ่อเงินท่านจึงเอ่ยว่า ตรงนั้นคือที่ตายของมัน 

                สมัยก่อนโน้น ตอนหนุ่มๆ เวลานั่งทำสมาธิอยู่ก็ไม่เห็นสัมภเวสีสักเท่าไหร่ ด้วยบารมีพระท่านสงเคราะห์ ครูบาอาจารย์มาคุ้มครอง สัมภเวสีก็เข้าใกล้ไม่ได้ จึงไม่ได้เห็นอะไรเหล่านี้ ต่อเมื่อขอท่านให้สามารถรู้เห็นสัมภเวสีได้เพื่อปลดเปลื้องข้อสงสัยบางประการ ก็ทำให้พอจะเห็นได้บ้าง หลายปีผ่านไปจากการสังเกตก็ขอแยกสัมภเวสีออกมาเป็น 2 จำพวก คือพวกที่ 1 พวกนี้เรียกว่าผีไม่มีญาติ หรือผีเร่ร่อน เป็นพวกที่ตอนมีชีวิตอยู่ก็ไม่ได้สร้างบุญกุศล นิยมสร้างบาป มากกว่าสร้างบุญ เมื่อวิบากกรรมมาตัดรอนเข้า ตายไปก็ไม่รู้จะไปไหนดี จะกลับบ้านก็คุยกับคนที่บ้านไม่มีใครได้ยิน พวกนี้ถ้าถูกแทงตาย แผลที่ถูกแทงก่อนตายก็จะยังคงอยู่ แล้วค่อยๆหายไปคล้ายๆกับคนทั่วไป ความรู้สึกเจ็บปวดยังมีอยู่ น่าสงสัยว่าแล้วผีจะมีระบบประสาทให้เจ็บปวดซะที่ไหนกัน จะว่าไปแล้วพวกนี้เจ็บปวดด้วยสภาพจิตที่มีอุปปาทานยึดถืออยู่ตอนกำลังจะตาย ตัวจริงไม่ได้เจ็บปวด แต่ที่แสดงอาการเจ็บปวดคือเกิดจากจิตจำสัญญานั้นฝังในใจ เป็นเหมือนทุกขเวทนาที่เกิดกับจิต ส่วนกายเนื้อไม่มีแล้ว ทุกขเวทนาทางกายย่อมไม่มี พวกนี้เองยังหิวอาหาร กระหายน้ำ ทุกข์ใจ กลุ้มใจ ต้องการที่พักอาศัย ยังถูกผีตัวอื่นรังแกได้ เป็นเหมือนโลกอีกใบนึง ที่หลายคนเรียกว่ามิติซ้อนทับ เพราะเราเดินสวนกับพวกนี้บ้าง เดินชนบ้าง เพียงแต่ว่ามันผ่านกันไปโดยที่เราไม่ได้รู้สึกหรือเห็นภาพเท่านั้นเอง 

                สัมภเวสีพวกที่2 คือพวกที่มีชีวิตอยู่ ได้ทำบุญทำทาน ใส่บาตร แต่ว่าผลบุญที่ทำไว้มีไม่เพียงพอจะให้พ้นจากการตายด้วยวิบากกรรมของโทษปานาติบาตร บางคนก็ได้ทำบุญบ่อยๆเอาช่วงใกล้จะตายแล้ว ลูกหลานพาทำบ้าง เพื่อนฝูงชวนไปทำบุญ ถวายทานต่างๆ พวกนี้ตายไปก็ยังไปเสวยผลบุญไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย อุปมาเหมือนกับว่า เราทำบุญให้ทานแล้วอุทิศผลบุญให้กับตัวเอง ในขณะที่ตัวเราเองยังมีชีวิตอยู่ ข้าวปลาอาหารที่ใส่บาตรไปนั้น เราย่อมยังไม่สามารถกินได้ พระท่านเป็นผู้ฉัน หรือเราอุทิศผลบุญนี้ให้กับพ่อแม่ที่ยังมีชีวิตอยู่ ท่านก็ยังกินใช้ไม่ได้ จนกว่าท่านจะถึงแก่กรรมไปก่อน อาหารหรือทานทั้งหลายที่ทำไปนั้นจึงจะไปรับได้ สัมภเวสีพวกนี้ก็เหมือนกัน เมื่อยังไม่ถึงเวลาที่หมดอายุขัยคือต้องตายจริงๆแล้ว ก็ยังไม่สามารถเสวยผลบุญนี้ได้ แต่ว่าภพภูมิหรือแดนสำหรับอยู่อาศัยของสัมภเวสีพวกนี้ จะแตกต่างออกไป บางท่านเรียกสถานที่นี้ว่าโลกทิพย์ ซึ่งหากว่าเข้าไปเยี่ยมชมแล้ว ที่นี่ก็มีบ้านเรือนพักอาศัย มีการค้าขาย เย็บปักถักร้อย ปลูกข้าว ปลูกผัก ค้าขาย คล้ายๆกับตอนที่ยังมีชีวิตกันอยู่ ยังคงต้องหุงหาอาหารกินกันคล้ายคนปกติ ส่วนที่ดูจะต่างกันไปก็คือโลกทิพย์นี้ ไม่มีแสงแดดแผดจ้า ไม่มีคนประพฤติผิดศีลธรรม สัมภเวสีที่อาศัยอยู่ที่นี่ยังสามารถเดินทางกลับมาอยู่บ้านของตัวเองตอนก่อนตายได้ มาเยี่ยมลูกหลานได้ มีชีวิตความเป็นอยู่ไม่ลำบากเหมือนสัมภเวสีพวกแรก ด้วยเพราะผลบุญที่ได้ทำมาก่อนตาย ตรงนี้เองที่ทำให้อยากจะเตือนท่านทั้งหลายว่า ยามมีชีวิตอยู่นั้น บุญจะเล็กจะน้อยหากทำได้ก็พยายามทำเอาไว้เถอะ เพราะตายไปแล้วผลบุญจะช่วยทำให้ไปอยู่ในที่อันสุขคติ ถ้าปราศจากผลบุญแล้ว ตายไปเป็นผี ก็เป็นผีอดอยาก เร่ร่อน น่าอเนจอนาถมาก 

                ขอเรียกสัมภเวสีพวกแรกว่า สัมภเวสีบาป และพวกที่สองว่า สัมภเวสีบุญ ก็แล้วกันนะครับ แน่นอนว่าสัมภเวสีบาปย่อมมีจำนวนมากกว่าสัมภเวสีบุญ สัมภเวสีบาปนี้ เวลามีงานตรุษ สารท ก็จะไปรอรับอาหาร ในทำเนียมจีน เวลาไหว้เจ้าตรุษจีน สารทจีน ก็จะมีการไหว้ ฮ่อเฮียตี๋ คำนี้แปลว่า พี่น้องที่ดี เคยถามอาปาว่า อั้วไปมีพี่น้องพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ? อาปาต้องอธิบายว่า การเรียกพวกนี้ว่าผีไม่มีญาติ เป็นการไม่ให้เกียรติ คนจีนจึงต้องเรียกให้ชื่อน่าฟัง ว่าเป็นพี่น้องที่ดี เวลาเราตกยากลำบาก หรือไปในที่เปลี่ยว อันตราย พวกนี้จะได้ช่วยเหลือเราได้ การไหว้ผีไม่มีญาตินี้ก็มีธรรมเนียมว่า อาหารทุกอย่างต้องปักธูป 1 ดอกเอาไว้เสมอ และไหว้เป็นอันดับสุดท้าย หลังจากไหว้เจ้าและบรรพบุรุษเสร็จแล้ว คนไทยก็มีพิธีชิงเปรต แต่ที่จะเห็นกันบ่อยๆก็คือ การไหว้ตามทางสามแพร่ง การทำกระทงใส่อาหารคาวหวานไปไหว้ตามมุมต่างๆนอกรั้วบ้าน ในภาคเหนือจะมีการตั้งเป็นศาลเพียงตา เอาอาหารคาวหวานใส่กระทง ตั้งเอาไว้ ให้คนที่พึ่งตายได้มากินในช่วง 7 วันแรก ทีนี้ก็สงสัยว่า แล้วสัมภเวสีมากินหรือเปล่า อันนี้ก็ต้องไปยืนดูอยู่ห่างๆครับ ตอนไหว้ผีไม่มีญาตินี่มากันตรึมไปหมด ส่วนกระทงตามทางสามแพร่ง มีทั้งผีเด็ก ผีผู้ใหญ่ มานั่งยองๆกินกัน กินแล้วก็ยังมีเหลียวมามองเราอยู่ เหมือนจะรู้ว่า เราก็เห็นพวกเขาเหมือนกัน 

                การทำบุญ อุทิศส่วนกุศลให้กับสัมภเวสีบาปพวกนี้ไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่ดีขึ้นสามารถทำได้ไหม อันนี้ความเห็นส่วนตัวคือ อุทิศไป ทำบุญให้ไป พวกนี้ก็ได้แต่มอง เห็นผลบุญนั้นอยู่ แต่ยังไม่สามารถเสวยผลบุญนั้นได้ ไปเกิดใหม่ก็ไม่ได้เพราะยังไม่หมดอายุขัย แต่ว่ามีความปลื้มใจ อิ่มอกอิ่มใจ สบายใจขึ้นได้บ้าง เพราะนอกจากวันตรุษวันสารทแล้วพวกนี้แทบไม่มีใครให้อาหาร แม้จะให้เป็นกระทงเล็กๆ มันก็ไม่พอจะกิน ชีวิตอยู่ด้วยความหิวกระหาย เสื้อผ้าก็เก่าบ้าง ขาดบ้าง บางพวกก็ไปคุ้ยหาของกินในกองขยะบ้าง ครั้นพอมีใครเอาเครื่องเซ่นมาไหว้ พอได้กินอาหาร ได้รับการอุทิศส่วนกุศลผลบุญพอได้มีกำลังใจขึ้นมาบ้าง โดยมากที่เจอคือ พวกนี้ก็จะบอกต่อๆกันให้สัมภเวสีตนอื่นๆมารอคอยให้จัดเครื่องเซ่นมาไหว้ ซึ่งบางบ้านทำแบบนี้เป็นปกติทุกวัน ไม่ได้ใส่บาตรพระนะ แต่ว่าจะตักข้าวสวย กับข้าว น้ำดื่ม มาตั้งเซ่นไหว้ที่หน้าบ้านหรือหน้าร้านค้า แต่เช้าทุกๆวัน พวกนี้ก็จะแห่กันมากิน แล้วถ้าวันไหนไม่ได้กิน พอหลายๆวันเข้าก็เริ่มก่อเรื่องเข้าให้ เพื่อให้เจ้าของบ้าน หรือเจ้าของร้านต้องเอาเครื่องเซ่นมาตั้งไหว้ ไม่งั้นข้าแกล้ง พวกนี้นิสัยตอนยังมีชีวิตอยู่เป็นคนอย่างไร ตายไปก็ยังคงมีนิสัยอย่างนั้น เรื่องทำบุญ ฟังธรรมเทศนา ไม่มีทาง เพราะไม่มีนิสัยมาตั้งแต่ก่อน เรื่องแบบนี้คนโบราณก็รู้กันมาก่อนแล้วเช่นกัน จนมีคำเรียกว่า ผีดี กับผีไม่ดี เพียงแต่ยุคสมัยนี้หาผีดีๆก็ยากมาก เพราะหาคนดีๆที่จะตายเป็นผีแล้วเป็นสัมภเวสีแบบมีบุญก็ยาก ส่วนการอุทิศส่วนกุศลให้กับผีพวกนี้ ก็ได้ความเมตตาของผู้แผ่อุทิศส่วนกุศลให้ เพียงแต่ว่าอาการก็คล้ายๆกันคือ สัมภเวสีพวกนี้ก็จะมาวนเวียนรอการอุทิศส่วนกุศลให้ เวียนไปเวียนมา ไม่อุทิศส่วนกุศลให้สักที ก็เริ่มเกิดความไม่พอใจ แต่สำหรับท่านที่อุทิศส่วนกุศล แผ่เมตตาให้ทุกๆวัน แบบนี้สัมภเวสีพวกนี้ก็ชอบใจ เรื่องการช่วยเหลือก็พอมีให้เห็นบ้าง แต่โดยมากก็ไม่เห็นว่าจะช่วยอะไร มีแต่คอยเดินตามเป็นฝูงๆ ช่วงไหนดวงตกจะเห็นพวกนี้เดินเพ่นพ่านอยู่ทั่วบ้านเลยทีเดียว 

                โดยส่วนตัวผมแล้วจะอุทิศส่วนกุศลรวมๆโดยทั่วไป จะไม่ได้อุทิศเฉพาะเจาะจงให้กับสัมภเวสีเพื่อเปลี่ยนภพภูมิใดๆ เนื่องจากเทวดาที่ปกปักรักษาตัวผมนั้นท่านมีความเมตตาต่อผมมาก ผมคิดเห็นว่าถ้าจะอุทิศให้กับสัมภเวสีซึ่งไม่มีนิสัยในการทำบุญและไม่ได้ช่วยเหลือเกื้อกูลอะไรแล้วนั้น มิสู้ผมอุทิศให้กับเทวดาที่ปกปักรักษาตัวเองไม่ดีกว่าเหรอ ท่านยังช่วยเราได้ยามตกทุกข์ได้ยาก หรือต้องเกิดเรื่องราวอันใด เทวดาท่านมีกำลังมากกว่าสัมภเวสี มีบุญกุศลอันเคยทำมา การอุทิศส่วนกุศลให้กับเทวดาที่รักษาตัวเราจึงมีประโยชน์ มีคุณค่ามากกว่า แล้วบ้านหรือที่ทำงานผมก็ไม่นิยมให้มีสัมภเวสีมาเดินเผ่นพ่านสักเท่าไหร่ ถ้ามีพรหม เทวดา อยู่ที่บ้าน ที่ทำงาน มากๆน่าจะดีกว่า จากแต่ก่อนก็เมตตาไปทั่วหมดนี่แหละ ไม่ดูตาม้าตาเรือหรือเหนือหรือใต้ แผ่เมตตาอุทิศให้หมด ผลคือผีเต็มบริษัทฯ หลังๆนี่เฮี้ยนขนาดว่า 2 ทุ่มเท่านั้น ออกมายืนกลางลานหน้าบริษัทฯกันเลย คนเดินผ่านไปผ่านมา ตกใจ อาหารไม่พอกิน ก็ไปเปิดหม้อหุงข้าว คว่ำหม้อข้าวกันบ้าง ไปล้มถังขยะคุ้ยกินกันบ้าง ทีแรกก็นึกว่าหมาแมว ไม่ได้สนใจ พอมีคนมาเห็นตำตาเข้า ก็เหงื่อแตกไปตามๆกัน มากันไม่ใช่น้อยๆ 2-300 ตน เดินกันไปมาเต็มไปหมด ทั้งเด็ก ทั้งแก่ จะทำบุญ ทำดีอะไรให้ไป พวกนี้ไม่สำนึกในบุญคุณ เหมือนกับว่าเป็นหน้าที่ของเราต้องหาให้พวกนี้กิน หรือต้องคอยทำบุญอุทิศให้ ไม่งั้นมีเรื่อง ยามเป็นคนก็เป็นคนพาล ตายไปเป็นผีก็อย่าหวังว่าจะเป็นผีที่ดี ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ผมก็ต้องเลิกเลี้ยงผีพวกนี้แล้วบอกคนรอบข้างห้ามเลี้ยง ไม่อุทิศส่วนกุศลใดๆให้ ตะเพิดไปหมดเหมือนกัน บางคนก็สงสัยว่าแล้วทำไมเจ้าที่ถึงไม่ไล่พวกนี้ ยอมให้เข้ามาอยู่ได้ยังไง ไปถามท่าน ท่านก็บอกว่าพวกคุณเป็นคนเชิญมารับส่วนบุญส่วนกุศลเอง แล้วเราจะไปไล่ยังไง นอกจากนี้เราก็ไม่เคยไปบอกเจ้าที่ให้ไล่สัมภเวสีพวกนี้เลย ดังนั้นเจ้าที่ท่านก็เลยไม่ได้ไล่ แล้วก็เดี๋ยวนั้นเองเลยที่บอกท่านว่านับต่อจากนี้ขอให้ท่านไล่สัมภเวสีทุกตนออกไปให้พ้นขอบเขตบ้านและที่ทำงาน ห้ามไม่ให้ผีพวกนี้เข้ามาในเขตรั้วบ้านได้ ท่านรับคำเสร็จ ผีก็หายกันไปหมดเหมือนกัน 

                นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถ้าจะทำบุญก็ทำบุญกับพระอริยะสงฆ์ พรหม เทวดา กับบุพการี ญาติพี่น้อง มิตรสหาย และผู้มีพระคุณทั้งหลาย กับหมู่กัลยาชน อย่าได้ไปทำบุญทำดีกับสัมภเวสี ผีไม่มีญาติ เว้นแต่ว่าท่านจะเป็นพระภิกษุ ผู้ประสงค์จะเมตตาให้กับผีพวกนี้ ก็แล้วไป แต่ถ้าเป็นปุถุชนอย่างผมแล้ว ก็ขอละเว้นตรงนี้บ้าง อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัว ส่วนท่านที่ประสงค์จะอุทิศให้สัมภเวสี ผีไม่มีญาติ พวกนี้ก็ไม่ว่าอะไรกันนะครับ ตามสะดวก ซึ่งถ้าท่านพอจะมีอารมณ์จิตที่มีความเป็นทิพย์อยู่บ้างก็ลองสังเกตดูนะครับว่าเป็นอย่างไร? ทำดีได้ดี มันต้องทำกับคนดี ให้ถูกที่ ถูกเวลา ถูกกาลเทศะด้วยครับ ถ้าทำดีกับคนชั่ว ไม่ถูกเวลา ไม่ถูกกาลเทศะ มันจะไปได้ดีได้อย่างไรล่ะ ผมก็เลิกทำบุญสะเปะสะปะมาหลายสิบปีล่ะ ใครจะว่าผมเห็นแก่ตัว เมตตามีเงื่อนไข ใจไม่บริสุทธิ์ ทำบุญก็ต้องทำให้มันทั่วถึงสิ อันนั้นก็เรื่องของท่าน อันนี้มันก็เรื่องของผม เนอะ ใครสะดวกแบบไหนก็เอาแบบนั้น ผมก็แค่เล่าสู่กันฟังว่า สัมภเวสีบาปพวกนี้เป็นยังไง เดี๋ยวค่อยมาเล่าว่าก่อนจะมาเป็นสัมภเวสีบาปนี้ มันเกิดอะไรขึ้นมาก่อนหน้านี้บ้าง จะได้เห็นว่าผลของกรรม ผลของบาป อย่าทำเสียเลยจะดีกว่า

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ศาสตราวุธในโลกวิญญาณ

กรรมมันหนีไม่ได้หรอก

บทนำ นิทานขี้โม้