บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก สิงหาคม, 2017

ผีแม่ขาว

รูปภาพ
ผีแม่ขาว                 เมื่อมีเวลาก็ต้องไปหาที่ปลีกวิเวก สำนักปฏิบัติทางใต้แห่งหนึ่ง เน้นการเจริญสติ ไม่ค่อยมีคนไปสักเท่าไร มีหลวงพ่อช่วงนั้นก็ไม่อยู่ เจอหลวงพี่ ท่านก็ให้ไปพักห้องหมายเลข 1 แล้วก็มองๆหน้าเรา ไอ้เรานี่ก็ไม่มีปัญหาอะไร พักที่ไหนยังไงก็ได้ เรื่องน้อย เพราะมาขออาศัยสถานที่ในการฝึกภาวนา ดูแลทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ก็พักผ่อนสักหน่อย จึงเริ่มทำสมาธิ สมัยก่อนที่นี่เป็นแต่กุฏิมุงแฝก   มาสมัยนี้ที่พักเริ่มทำเป็นห้องก่ออิฐฉาบปูนปูกระเบื้อง แม้จะทำให้บรรยากาศเปลี่ยนไปบ้าง แต่ก็เพื่อความคงทนถาวร ส่วนต้นไม้ก็ยังมีมาก ร่มรื่นดี                 ประสาคนเจริญภาวนา ฌานนี่ต้องทรงตัวอยู่ตลอดเวลา จะมาตั้งท่าก่อนค่อยลำดับสมาธิเป็นขั้นเป็นตอน แบบนั้นไม่ทันกินครับ เกิดเรื่องขึ้นมาตายก่อน ไม่ทันได้เข้าสมาธิ หลวงพ่อสั่งไว้เลยว่าต้องทรงฌาน๔ให้ได้ตลอดเวลา ซึ่งอันนี้ยอมรับว่ายาก ใช้เวลากว่า 26 ปีถึงจะพอทำตามที่ท่านบอกได้ นับว่าล่าช้า เลวร้ายเกินที่ท่านจะด่าไปเยอะแล้ว ส่วนสติก็ต้องทรงตัวตามรู้ตามดูจิตตลอดเวลา สัมปชัญญะต้องรู้ตัวทั่วพร้อม จะยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม เหยียดออก คู้เข้า เ

นรก....ที่รัก

รูปภาพ
นรก...ที่รัก....                 หลังจากกราบเรียนถามเรื่องนรกที่ข้าพเจ้านิยมชมชอบไปอยู่บ่อยๆ อยู่นานๆ ก็ปรากฏพระพรหมรูปนึงขึ้น รูปร่างสวยงาม ท่านนมัสการองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าองค์ปัจจุบันเสร็จ ไหว้ครูบาอาจารย์ด้วยความเคารพ เราก็กราบไหว้เคารพท่าน เห็นกริยาท่าทางท่าน เรียบร้อย สูงส่ง ทรงคุณค่า ไม่มีอาการกระด้าง ดูถูกใดๆ มีความดีงาม สมแล้วกับคำว่าพรหม ที่แปลว่าประเสริฐ ท่านบอกว่าเรื่องไปดูนรก ท่านจะอาสาพาไปดูเอง เรื่องนรกนี่ท่านเป็นผู้ดูแลอยู่ คนทั้งหลายเรียกท่านว่า พระยายมราชบ้าง พระยายมบ้าง ยมพระบาลบ้าง ท้าวกุเวรบ้าง ก็เลยสงสัยว่า แล้วท่านที่มีเขา ถือไม้เท้าหัวกะโหลกนั่นเป็นลูกน้องบริวารท่านหรือไร ท่านก็ว่าไม่ใช่หรอกครับ เป็นคนเขาคิดจินตนาการกันขึ้นมาเอง ว่าแล้วเพื่อไม่ให้เสียเวลาท่านก็พาไปดูนรก แล้วก็นรกที่ข้าฯนี้ไปอยู่บ่อยๆ ท่านก็พาไปดูขุมนรก                 นรกแต่ละขุมเหมือนมองจากริมหน้าผาลงไป เป็นเหวลึกลงไปหลายกิโล แต่ว่ามองเห็นได้ชัด เมื่อลงไปดูขุมนรกที่ข้าฯนี้ชอบไปอาศัยอยู่บ่อยๆ ก็ปรากฏเป็นร่างผอมแห้ง เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก โดนตรึงด้วยหอก โลหะ ที่อกอันนึง ที่แขนสอง

อดีตชาติในภาพรวม

รูปภาพ
อดีตชาติในภาพรวม                 เมื่อเห็นว่าเคยเกิดมาเป็นพรหมแล้ว ถึงจะเป็นพรหมชั้นเตี้ยๆก็ยังดีแหละนะ ตอนนี้ก็ไปกราบพระ กราบครูบาอาจารย์ เห็นหลวงพ่อปาน หลวงพ่อทวด ครูบาอาจารย์อีกหลายรูป ก็ไปขอเรียนถามท่านว่า กระผมนี่เคยเกิดเป็น สัตว์นรก เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นคน เป็นพรหม เป็นเทวดามากี่มากน้อยแล้วขอรับ                 ภาพก็ปรากฏเป็นลานกว้างสุดลูกหูลูกตา ฝั่งซ้ายมือมาจนถึงตรงกลางค่อนมาทางขวาแล้วก็ด้านหลังทั้งหมด ปรากฏเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกายสัตว์เดรัจฉาน มีด้านหน้าค่อนมาทางขวาหน่อยๆที่เกิดมาเป็นคน แล้วก็น้อยมากกกกก ที่ได้เกิดมาเป็นพรหมเป็นเทวดา ก็นึกอุทานขึ้นมาในใจว่า”จัญไรแล้วกู” นี่เกินกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ เกิดเป็นสัตว์นรก สัตว์เดรัจฉานเหรอนี่ กว่าจะได้เกิดมาเป็นคนก็แสนยาก เกิดเป็นคนแล้วจะสร้างความดีให้ไปเป็นเทวดาบ้าง พรหมบ้างนี่แสนยาก เกิดมาไม่พบพระพุทธศาสนา จะหาเนื้อนาบุญในการสร้างความดีก็ไม่ได้ การช่วยเหลือเกื้อกูลสัตว์โลก การให้ทาน การสงเคราะห์สัตว์ต่างๆก็ให้ผลไม่ได้มาก หากไม่รู้จักรักษาศีล ไม่รู้จักการเจริญสมถภาวนา วิปัสสนาภาวนาแล้ว เห็นทีจะรอดพ้นนรกได้ยาก         

ระลึกชาติ

รูปภาพ
ระลึกชาติ                 เป็นเรื่องทั่วไปสำหรับคนที่ฝึกได้ทิพยจักขุญาณใหม่ๆก็จะต้องมีการระลึกชาติกันหน่อย การระลึกชาตินี่ทำกันได้สองแนวทาง คือเมื่อจิตมีความเป็นทิพย์ คำว่ามีความเป็นทิพย์สำหรับผู้ฝึกใหม่นี่คือ เมื่อจิตถึงอุปจารสมาธิก็มีความเป็นทิพย์ แต่ว่าพวกนี้อุปทานแทรกได้ง่าย เวลาจะไปไหนมาไหนต้องขอบารมีพระบ้าง พรหมเทวดา ครูบาอาจารย์ไปด้วยเสมอๆ ส่วนพวกที่เก่าแล้วจะเข้าฌาน๔ แบบใช้งานได้ คือต้องทรงสติเอาไว้ให้มีกำลังพอสมควร ความเป็นทิพย์จะเกิดขึ้นได้ ถ้าไม่มีสติเข้าควบเอาไว้ จะนิ่งสนิท ไปไหนไม่ได้ ทรงอารมณ์นิ่งๆเฉยๆแบบนั้นทั้งวันไม่มีอะไร                 การระลึกชาตินี่ก็ทำกันแนวแรกคือพอจิตเป็นทิพย์ก็ไล่ย้อนนึกถึงเรื่องที่ทำไปเมื่อวาน แล้วไล่ไปเรื่อยๆ จนไปถึงปีที่แล้ว จนเมื่อเป็นเด็ก แล้วระลึกไล่ไปจนตอนอยู่ในท้องแม่ จนปฏิสนธิ เวลาที่จิตก่อนจะสิงสู่เข้ามาในคัพภะ แล้วไล่ลำดับไปก็เจอชาติที่แล้ว แล้วก็ไล่ต่อไปก่อนตายเป็นยังไง อาการก่อนตายด้วยโรคอะไร พวกนี้จะช้า ไม่ค่อยทันการณ์ แต่ว่าเห็นรายละเอียดรอบคอบดีมาก แบบนี้ผมเคยลองทำอยู่เหมือนกัน ไม่นึกว่าพอจิตเป็นทิพย์แล้ว ไอ้ที่ว่าเราล

ทิพยจักขุญาณ

รูปภาพ
ทิพยจักขุญาณ                 จับภาพพระพุทธรูปเป็นอารมณ์ บริกรรมคำว่า นะมะพะทะ แบบนี้เป็นของไม่ยาก เพราะภาพพระพุทธรูปนี่จับใจไว้ตั้งแต่เด็กแล้ว การบริกรรมก็เปลี่ยนจากพุทโธ มาเป็นนะมะพะธะ ไม่ยากเท่าไร การฝึกครั้งแรก มืดสนิท เพราะว่าจะไปเอาตาเพ่ง อยากเห็นก็ด้วย ไม่เลยไม่ได้เรื่อง วันรุ่งขึ้นฝึกอีก ก็เละเหมือนเก่า มืดไปหมด รอไปอีกเดือนนึง ฝึกใหม่ คราวนี้ก็เริ่มเห็นลางๆ เหมือนเดินไปในที่หมอกลงจัด หลวงพ่อบอกว่า พวกที่สามารถเห็นได้ แม้ว่าจะจางๆเหมือนหมอกลงจัดนี้ พวกนี้ต้องฝึกมาเป็นแสนชาติ ถ้าไม่เคยได้วิชานี้มาก่อนเลย ฝึกเอาชาตินี้เป็นชาติแรกแล้วล่ะก็ ฝึกไป 100 ปีก็ไม่เห็นอะไรหรอก                 น่าสงสัยว่า จะเป็นการสะกดจิตหมู่หรือเปล่า หรือว่าอุปทานจากการที่ได้เคยอ่านมาก่อน หรือมันคือการที่เราเหนี่ยวนำเอาความรู้สึกที่คนอื่นๆรับรู้มาเป็นสิ่งที่เรารู้ สารพัดจะสงสัยและมีคำถาม แต่ก็ฝึกไปเรื่อยๆ ชัดบ้างไม่ชัดบ้าง แต่ส่วนมากไม่ชัด ฝึกได้สัก 8 เดือนก็เลิก สาเหตุที่เลิกก็มีอยู่ว่า ตอนนั้นยังเรียนหนังสืออยู่ก็ไปพักที่บ้านพักครูของพี่สาว กลางคืนทำสมาธิไปก็เห็นผีผู้หญิง ที่นอนตายอยู่ที่เสาต้

ตำหนักทรง

รูปภาพ
ตำหนักทรง                  ความที่แม่กับเตี่ย เชื่อในการทรงเจ้า ทำให้แม่แวะเวียนไปตามตำหนักต่างๆ ที่ไหนใครว่าดีก็ลองไปหาดู ทั้งพ่อปู่ พระพรหม ปู่ใหญ่ กุมารทอง ท้าวสุรนารี ฯลฯ ไปจนเกิดเรื่อง มารู้จาก ตาลุงไม้ขีดไฟว่า แม่โดนตำหนักเหล่านั้นทำของใส่มา เวลาตำหนักมีงาน แม่จะต้องไปทุกครั้ง ไม่ไปไม่ได้ จะร้อนรุ่ม แล้วจะมีเสียงเรียกให้ต้องไป อยู่บ้านไม่ได้  ตาลุงไม้ขีดไฟก็เลยอาสา มาพาไปตำหนัก พ่อปู่(อีกแล้ว) ไปกินน้ำมนต์ อาบน้ำมนต์ แล้วก็เล่าว่าตอนพาแม่ไป แม่ไม่ยอมไป มียักษ์มายืนขวาง แกต้องใช้คาถาจักรนารายณ์ตัดแขนตัดขา แล้วพาแม่ขึ้นรถไปส่งถึงตำหนัก ไอ้เราก็สงสัยว่า ตาลุงไม้ขีดไฟก็มีวิชา ทำไมไม่ไล่เอง(วะ) สรุปแล้วตอนหลังแกมาเล่าให้ฟังว่า แกก็ไปแสดงวิชาที่ตำหนักนั่น โดยเป็นคนรดน้ำมนต์ให้แม่ บอกว่าน้ำมนต์ไม่เกาะตัวแม่เลย มีแต่น้ำมันไหลซึมออกมาตามผิวหนัง                 หลังจากนั้นก็ให้พ่อปู่เปิดปากให้ ก็มีเทพมาประทับทรงแม่ เป็นเทพผู้ชาย ดุมาก มีฤทธิ์มาก เวลาลงทีนึงนี่ตำหนักสะเทือน ซึ่งเรื่องที่แม่เป็นร่างทรงนี้ ที่บ้านไม่มีใครยอมรับ ทำให้เวลาเข้าทรงแม่ต้องไปเข้าทรงที่ตำหนักพ่อปู่ ตามสืบคว

น้ำมันพราย

รูปภาพ
น้ำมันพราย                 ตาลุงไม้ขีดไฟมาเล่าให้ฟังถึงสมัยยังหนุ่มๆ ตอนที่เรียนวิชาทำน้ำมันพรายจากอาจารย์ แกว่าอาจารย์จะรออยู่หน้าวัด มีถ้วยตะไลแตกๆมาให้อันนึง กับเทียนเล่มนึง จุดเดินเข้าไปป่าช้า ต้องไปที่หน้าหลุมศพที่ฝังผีตายท้องกลม ถ้าตายวันเสาร์จะเฮี้ยนมาก ไปถึงหน้าหลุมศพก็ว่าคาถาบทแรก ดินหน้าหลุมศพจะแหวกออกจากกัน ฝาโลงจะดีดออก แล้วผีในโลงจะลุกขึ้นยืนตรงหน้า แล้วตัวจะยืดสูงขึ้น สูงขึ้น จนสูงเท่าต้นตาล ตอนนี้ก็ว่าคาถาอีกบทนึง ให้ศพย่อตัวลงมาเท่าร่างเดิม จากนั้นศพจะยกแขนมาคล้องคอเราเอาไว้ ไอ้เราก็สงสัยว่า แล้วตราสังข์ล่ะ? แกว่าตราสังข์ห้ามไปตัดเข้าเลยนะ ตัดเข้าซวยทันที ไอ้เราก็สงสัยว่าซวยยังไง...แกว่า มันก็จะฆ่าเราเอาได้น่ะสิ ตอนลงตราสังข์เขาก็มีคาถากำกับเอาไว้ แล้วจะไปตัดออกได้ยังไง ... อ้าว แล้วคล้องคอลุงได้ไง มันก็ต้องชิดกันมากน่ะสิ.... เออ...ก็ต้องชิดน่ะสิ แล้วไม่เหม็นเหรอ? ศพยังไม่ทันขึ้นอืดหรอก พึ่งจะเขียวๆ ยังไม่เหม็นเท่าไร เอ้า..ต่อๆๆๆๆ.... ตอนนั้นก็เริ่มลนที่คาง ไฟโดนเนื้อมันก็จะเหม็นไหม้ ดังฉี่ๆๆๆ  พอได้น้ำมันหยดลงมาสักไม่ถึงช้อนชาเท่านั้นก็พอแล้ว ไ

เรียนคาถาอาคม

รูปภาพ
เรียนคาถาอาคม                 ตามความเชื่อแต่ก่อนนั้น ชายไทยทุกคนต้องมีวิชาอาคม แต่ว่าเรามันเป็นลูกเจ๊ก เตี่ยก็มาจากแผ่นดินใหญ่ จะเรียนคาถาอาคมไปเพื่ออะไร ถ้าไม่ใช่เพราะว่ากลัวผี ผมก็เชื่อว่าพวกที่เรียนคาถาอาคมนี่ ร้อยละ90 ล้วนแล้วแต่ขี้ขลาดขี้กลัวทั้งนั้น กลัวผีบ้าง กลัวคุณไสยบ้าง กลัวโดนแทงตาย โดนยิงตาย สารพัดจะกลัว ก็ทำให้ต้องเรียนคาถาอาคมบ้าง สักเสกเลขยันต์บ้าง                 ตาลุงไม้ขีดไฟ ขอใช้ชื่อนี้เพราะวันๆแกพกแต่ไม้ขีดไฟ ส่วนบุหรี่มาขอเอาจากแม่ผมนี่เอง ตาลุงเคยบวชเรียนจนได้เป็นมหา คือได้เปรียญประโยค 3 ก่อนจะลาสิกขาออกมาแต่งเมีย จนมีลูกชายลูกสาว แก่กว่าผมหลายปี สาเหตุที่บวชนั้นแกเล่าอย่างภาคภูมิใจว่า ชดใช้กรรมที่เคยทำเอาไว้ตอนใช้วิชาอาคมสมัยหนุ่มๆ ว่างๆแกก็จะมานั่งโม้ให้ฟัง ไอ้เราก็ชอบฟังเรื่องขี้โม้อยู่แล้ว ก็เลยเข้าขากันได้พอสมควร เริ่มแรกเลยแกก็ว่า คาถานายผี คาถานี้ เวลาเจอผีให้เอาหัวแม่ตีนจิกที่พื้นดิน แล้วท่องว่า “เนหะ นะหะ” บริกรรมไปเรื่อยๆ ผีจะก้าวขาไม่ออก จะถูกสะกดอยู่กับที่ คาถานี้มาได้ใช้ตอนเรียนม.2 ที่โดนผีแหกตาที่ตึกแถว ของตั่วเฮีย                 ตา

บ้านทางสามแพร่ง

รูปภาพ
บ้านทางสามแพร่ง                 ย้ายบ้านมาเซ้งตึกแถวห้องหัวมุมอยู่ในตลาดบางขุนนนท์ ตรงทางสามแพร่งพอดี ซึ่งคนไทยมีความเชื่อว่าเป็นทางผีผ่าน และเวลาพวกร้อนวิชาอาคมจะปล่อยของจะผ่านทางสามแพร่งนี่เอง แต่เนื่องจากเราเป็นคนจีน ไม่ใช่คนไทยสักเท่าไร อาปามาจากเมืองจีน เลยไม่สนใจทางสามแพร่ง แม่ก็พอรู้แต่ว่าตัวเองดวงแข็ง อยู่ได้ไม่เป็นไร บ้านหลังนี้ก็ไม่ได้น่ากลัวอะไร ตอนประถมก็เดินออกทางหลังบ้าน ตัดผ่านสวนยายเอิบ ผ่านสลัม ไปทะลุ โรงเรียนวัดศรีสุดาราม หรือวัดชีปะขาว ที่นี่เป็นโรงเรียนที่สุนทรภู่เรียนจบ ชั้นประถม 4 เมื่อจบแล้วก็ยังมาเป็นครูสอนอยู่ที่นี่อีกหลายปี วัดชีปะขาวนี้ อยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ในเขตบางกอกน้อย เป็นวัดเก่าแก่มีประวัติมาตั้งแต่อยุธยาตอนปลาย                 ถัดจากวัดชีปะขาวไปไม่ไกลนัก เลี้ยวซ้ายเข้าซอยไปก็จะเจอตำหนักทรงแป๊ะกง และกิมท่งเอี๊ยะ ที่นี่ทั้งอาปากับแม่ เชื่อถือมาก และสนิทคุ้นเคยกับคนทรง ที่เราเรียกกันว่า ตั่งกีเจ่ก สมัยก่อนตั่งกีเจ่ก มีชีวิตที่ลำบากมาก เผาถ่านขาย พายเรือขายถ่านวันๆเนื้อตัวดำมอมแมม ได้เงินมาไม่กี่สตางค์ ลำบากยากจนมาก จนเทพเจ้าเห็นใจ มาเข้าฝั

ตายแล้ว7วันจะกลับบ้าน(2)เข้าบ้านไม่ได้

ตายแล้ว7วันจะกลับบ้าน(2)เข้าบ้านไม่ได้                 อาเจ๊กอยู่บ้านติดกัน อยู่ทางขวามือ แต่งกับเมียอายุห่างกันเกินรอบ อาเจ๊กแกหูตึง พวกเราจึงขนาดนามแกว่า เจ๊กหงีลั้ง เวลาคุยกันแกก็ไม่ค่อยได้ยิน แม้ว่าจะใส่เครื่องช่วยฟัง เหน็บเอวเอาไว้ ก็จะคุยกันแล้วงงๆหน่อย เมียแกก็พยายามหาวิธีรักษา ไปหามาหลายหมอ หลายโรงพยาบาล แต่ก็ไม่ดีขึ้น คนเราเมื่ออับจนปัญญาขึ้นมาหนักๆเข้า วิธีจะบ้าบอยังไงก็จะสรรหามาทดลองได้หมดเหมือนกัน                 เมียอาเจ๊กแกไปฟังเขาเล่าว่า เอาดีหนูนา แบบผ่าสดๆ บีบใส่หูจะแก้หูหนวกหูตึงได้  แกเลยไปจัดการหาซื้อหนูนามาผ่าท้องแล้วบีบดีหนูใส่หูอาเจ๊ก ทำอยู่หลายครั้ง ฆ่าผ่าท้องหนูนาไปก็หลายตัว แต่อาเจ๊กแกก็ไม่หาย ต่อมาไม่นานเมียแกก็ตั้งท้อง พอตั้งท้องไม่นานอาเจ๊กก็ตาย บ้านติดกันพอตายขึ้นมา ประสาเด็กอย่างเรามันก็ต้องกลัวผีเป็นธรรมดา กลางคืนขึ้นนอนก็จะรีบเข้านอน นอนก็จะนอนรวมๆกันเพราะจะได้ช่วยให้อุ่นใจหายกลัวผี แต่ธรรมชาติของคนกลัวผีมันก็จะอยากเห็นผีหน่อยๆ แต่ไม่อยากให้ผีเห็น                 คืนวันที่ 7 คืนนั้นเราทุกคนก็ระแวงว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เมียแกเอาน้องเมียมานอน

ตายแล้ว 7 วันจะกลับบ้าน(1)

รูปภาพ
ตายแล้ว 7 วันจะกลับบ้าน(1) น้าเจริญ ลูกชายยายเอิบ มีสวนอยู่หลังบ้าน ทอดยาวอ้อมมาทางซ้ายมือของบ้าน ระหว่างบ้านเรากับบ้านน้าเจริญ จะมีจุดทิ้งขยะคั่นกลาง จะไปบ้านน้าเจริญก็ต้องเดินผ่านบ้านเราก่อน น้าแกเลี้ยงปลาขายด้วย ส่วนสวนก็จะเป็นยายเอิบ เก็บผลไม้ขาย มีมะพร้าว มะม่วง กะท้อน กล้วย หลายอย่างด้วยกัน พี่ชายยังเคยไปมุดรั้ว ขโมยเด็ดชมพู่ในสวนยายเอิบบ่อยๆ น้าเจริญ ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร แกเลี้ยงปลาเทวดา เพาะขายด้วย วันๆก็จะเห็นแกเดินผ่านหน้าบ้านเรา เข้าไปทางบ้านแก ซึ่งก็ห่างกันสัก 30 เมตร เช้าก็เดินผ่าน เย็นก็เดินผ่าน เป็นอยู่อย่างนี้หลายปี จนอยู่มาวันนึงไม่เห็นแกเดินผ่าน แล้วแม่ก็มาบอกว่า น้าเจริญตายซะแล้ว ป่วยตายกะทันหัน พวกเราก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะไม่ได้สนิทอะไรกันมากนัก หลังจากตายผ่านไปได้สัก 3 วัน แม่ก็มาเล่าว่า กลางคืนสักเที่ยงคืน จะเห็นน้าเจริญเดินผ่านหน้าบ้าน เข้าไปที่บ้านแก แล้วสักพักแกก็กลับมาเริ่มต้นเดินใหม่ แบบนี้เรื่อยๆไปจนใกล้รุ่ง พอไก่ขันแกก็หายไป แม่นอนอยู่ข้างล่าง ก็มองออกไปทางบังตาของประตูยืดหน้าบ้าน ในตอนกลางคืนบอกว่าเห็นชัดเจน น้าเจริญแน่นอน แกคงจะห่วงบ้าน กล

เพ่งแสงสว่างและผีเน่าในฝัน

รูปภาพ
เพ่งแสงสว่างและผีเน่าในฝัน                  ผลจากการชอบเพ่งแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์ ตอนเด็กๆไม่รู้ว่านี่คือการเพ่ง ประสบการณ์ตอนนี้กลับมามีประโยชน์อีกครั้ง เมื่อพบกับเหตุการณ์ ฌานเสื่อม ซึ่งได้มาพิจารณาถึงตอนเด็ก 4-5 ขวบ ช่วงที่เพ่งแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์นี้เอง ที่ช่วยแก้เรื่องฌานเสื่อมไปได้                 ตี๋น้อย ไม่รู้จักสมาธิ ไม่รู้จักพุทโธ ไม่รู้จักพระพุทธเจ้า ไม่รู้จักกสิณ ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง ในด้านการปฏิบัติภาวนา รู้จักแต่ผี เพราะโดนแม่หลอกเอาไว้เยอะมาก การเพ่งแสงสว่างในเวลานั้น ไม่ได้จับลมหายใจ ไม่ได้คาดหวังหรือต้องการฤทธิ์เดชอะไร ไม่มีคำบริกรรมใดๆ อาศัยอยู่อย่างเดียวคือความสบายใจ ส่วนร่างกายนั้นก็ผ่อนคลาย ไม่ได้เกร็ง ดวงตาที่มองแสงสว่างก็ไม่ได้เพ่งจนเอาเป็นเอาตาย เพราะอาศัยความสบายใจ ร่างกายผ่อนคลายเป็นหลัก และก็ไม่มีความคาดหวัง ไม่คิดนึกหรืออยากได้อยากดีอยากมีอยากเป็นอะไรทั้งนั้น ใจก็เกิดความสงบเย็น จะเป็นฌานหรือไม่ ก็ไม่สนใจทั้งสิ้น ตกกลางคืนนอนหลับก็ฝัน                 ในฝันก็จะเจอซากศพผู้ชายกำลังเริ่มเน่าเฟะเละเทะมาก นอนอยู่ในโลงศพ บางคืนก็ฝันเห็นว่าแกนอนของ

ผีแขก

รูปภาพ
ผีแขก                 ตึกแถวสองชั้น พื้นชั้นบนเป็นไม้กระดาน มีช่องเปิด ติดมุ้งลวด กับเหล็กกลมซี่ๆ ทำเป็นช่องเปิดเอาไว้ ที่พื้นขนาด ฟุต x ฟุต สำหรับไว้เป็นตะโกนเรียกกัน ระหว่างคนที่อยู่ชั้นบนกับชั้นล่าง แทนอินเตอร์คอม ที่สมัยนั้นยังไม่มีหรอก สมัยนี้ก็ไม่มีคนรู้จักแล้วเหมือนกัน                 ประตูก็เป็นประตูยืด มีบังตา แยกต่างหาก พัดลมเพดาน เสียงดังมาก ลมก็แรงมาก ทำท่าเหมือนจะหล่นลงมาได้ทุกขณะ อาปาบอกว่ามันนำเข้าจากญี่ปุ่น หนักมาก และก็ทนทานมากเช่นกัน เนื่องจากต้องปรับไฟจาก 110 โวลต์มาเป็น 220 โวลต์ ทำให้มันทำงานอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก                 เยื้องๆกันก็เป็นบ้านอาจารย์เจ๊ก พวกเราเรียกว่า อาจารย์เจ่ก เป็นลูกศิษย์ หลวงปู่ทอง วัดราชโยธา หรือ วัดลาดบัวขาว หลวงปู่ทอง อายุยืนถึง 117 ปี เป็นพระศักดิ์สิทธิ์รูปหนึ่งทีเดียว เป็นอาจารย์หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน ที่สร้างพระรูปหล่อราคาแพงมากๆ ศิษย์ฆราวาส ที่มีชื่อเสียงก็มีอยู่สองคน คือ อาจารย์แก้ว และอาจารย์เจ๊ก ลือกันว่า อาจารย์แก้ว ศิษย์พี่ เรียนวิชาไสยขาว ส่วนอาจารย์เจ๊ก เรียนวิชาไสยดำ เรื่องราวของอาจารย์เจ๊ก ก็จะได้เล่าในโ

บทนำ นิทานขี้โม้

นิทานขี้โม้ คำว่า นิทาน ก็คือเรื่องเล่า ที่ไม่เอาสาระข้อเท็จจริง เป็นแง่คิดบ้าง เพื่อความสุข สนุกสนานและบันเทิงเป็นหลัก เมื่อมารวมเข้ากับคำว่า ขี้โม้ ก็เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้รู้สึกว่า นี่ไม่ใช่เรื่องจริง เป็นแต่เพียงผู้เขียนเล่าไปส่งเดช เรื่องราวก็เป็นช่วงชีวิตที่ผ่านเจออะไรบ้าๆบอๆ โลกบ้าง ธรรมบ้าง จวบจนอายุจะครึ่งศตวรรษเข้าไปแล้ว จึงเอามาเล่าไว้ให้คนรุ่นหลัง ได้ช่วยกันเฮ ช่วยกันฮา จะด่าบ้างก็ได้ แต่อย่าแรงส์ วัยเด็ก จำความแทบไม่ได้แล้ว มีเพียงบางช่วง ที่ระทึกใจ คือโดนถีบบ้าง ผลักบ้าง ตกบันได ตั้งแต่ 4-5 ขวบ ทั้งๆที่ไม่เห็นว่าใครมันผลัก สรุปว่าเป็นผี แล้วก็เลยกลัว รวมกับแม่ชอบหลอกด้วย ก็เลยกลัวผีขี้ขึ้นหัว กลางคืนก็ยังเก็บไปฝัน โตมาหน่อยก็ต้องเรียนคาถาอาคม พวกที่เรียนคาถาอาคมนี่คือพวกขี้ขลาด กลัวผี คนไม่กลัวก็ไม่ต้องเรียนวิชาไปสู้กับผีหรอกนะ วัยรุ่นตอนปลาย ก็ได้พี่ชายชวนไปฝึกวิชามโนมยิทธิ ที่ซอยสายลม มีพระเดชพระคุณพระราชพรหมญาณ วัดท่าซุง เป็นประธานในปี 2530 หลังจากนั้นก็ได้ไปกราบเรียน ฝึก ศึกษากับครูบาอาจารย์หลายท่าน เพื่อเพาะบ่มอินทรีย์ให้แก่กล้า ผลปรากฏว่า เป็น