ศาสตราวุธในโลกวิญญาณ


                ศาสตรวุธในโลกวิญญาณ


(อาวุธในพระคาถาอาวุธ 5 ประการ ทางสายหลวงพ่อเดิม มีดังนี้)
1.สักกัสสะ วะชิราวุธัง คือ วชิราวุธ ของ พระอินทร์
2.ยะมะนัสสะ นะยะนาวุธัง คือ นัยน์ตา ของ พระยายม
3.เวสสุวัณณัสสะ คะทาวุธัง คือ กระบอง ของ ท้าวเวสสุวรรณ
4.นารายะสะ จักกราวุธัง คือ จักร ของ พระนารายณ์
5.อาฬะวะกัสสะ ทุสาวุธัง คือ บ่วงบาศ ของ ท้าวอาฬวกยักษ์
 
(อาวุธในพระคาถาอาวุธ 5 ประการ ทางสายหลวงพ่อปาน มีดังนี้)
1.สักกัสสะ วะชิราวุธัง คือ วชิราวุธ ของ พระอินทร์
2.ยะมะนะสะ นะยะนาวุธัง คือ นัยน์ตา ของ พระยายม
3.เวสสุวัณณัสสะ คะทาวุธัง คือ กระบอง ของ ท้าวเวสสุวรรณ
4.อาฬะวะกัสสะ ภูสาวุธัง คื ผ้าแดง ของ ท้าวอาฬวกยักษ์
5.พุทธัสสะ ธัมมะจักกราวุธัง คือ พระธรรม 84,000 พระธรรมขันธ์ ของ พระพุทธเจ้า
 
นะโมสามจบ

"สักกัสสะวชิราวุทธัง เวสสุวันนะสะคะธาวุทธัง อาฬาวะกะสะธุสาวุทธัง
ยะมะสะนัยนาวุทธัง นารายยะสะจักกะราวุทธัง ปัญจอาวุทธานัง เอเตสังอานุภาเวนะ
ปัญจะอาวุธธานังภัคคะภัคขา วิจุณนัง วิจุณาโลมังมาเมนะ พุทธะสันติ คัจฉะอะมุมหิ
โอกาเสติฐาหิ
 
ซึ่งพระคาถานี้รวมอาวุธห้าประการที่ถือว่ามีอิทธิฤทธิ์คือ
 
1. วชิราวุธ..อาวุธประจำกายพระอินทร์ที่ปราบมารร้ายและอสูร
2. ไม้เท้า...(กระบอง)ที่ยันกายขององค์ท้าวเวสสุวรรณ อันเป็นเจ้าแห่งภูตผีทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นผีอะไรต้องเกรงกลัวท่านท้าวเวสสุวรรณทั้งนั้น
3. ผ้าแดง...ของอาฬาวะกะยักษ์ ที่พ่ายแพ้แก่บารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผ้าแดงนี้เป็นอาวุธที่ร้ายแรงตามที่โบราณกล่าวว่าถ้าผ้าผืนนี้ตกลงบนพื้นพิภพแห่งใดจะไหม้เป็นจุณและปลูกอะไรไม่ขึ้นจนตลอดกาล
4. นัยเนตร...ของท่านพญายมราช ที่เพ่งแล้วภูตผีทั้งหลายจะมอดไหม้ไปเป็นจุลมหาจุล
5. กงจักร...ของพระนารายณ์ ตามลัทธิพราหมณ์ถือว่ากงจักรสุทรรศน์ของพระนารายณ์นี้ปราบได้ทั้งสวรรค์ อสูร และใต้บาดาล มีอิทธิฤทธิ์มากมายเหลือคณานับ
-----------------------
คาถาเทพอาวุธ

สัพเพเทวาปิสาเจวะ อะฬะวะกาทะโยปิจะ ขันคังตาละปัตตัง
ทิสะวา สัพเพยักขาปะลายันติ สักกัสสะวะชิราวุธัง ยะมะราชา
นะยะนาวุธัง อาฬะวะกัสสะทุสาวุธัง นารายัสสะ จักราวุธัง
เวสสุวัณณัสสะ คะทาวุธัง ปัญจะอาวุธา ติกขะตะราโลเก
ปาตุระโหคะตาสัพเพ อิเม ทิสะวา สัพเพ ยักขาปะลายันติ

 
จบ เรื่องศาสตราวุธทั้ง5ในโลกวิญญาณตามตำนานเล่าขานสืบๆกันมา ตานี้ก็มาถึงนิทานขี้โม้ ท่านผู้อ่านก็โปรดเข้าใจว่าเป็นเรื่องสนุกสนานเท่านั้นนะครับ อย่าไปหาสาระอะไรกับนิทาน

                ศาสตรวุธในโลกวิญญาณ ของพวกที่ฝึกสมาธิมาทางสายฤษีก็มี อภิญญาก็มีเหมือนกัน อันที่จริงแล้วท่านที่ได้อภิญญากันมานั้น โดยมากก็เคยบำเพ็ญตน ฝึกตบะมาทางสายฤษีมาก่อนแล้วแทบทั้งนั้น ต่อเมื่อมาเจริญวิปัสสนาญาณก็ได้อาศัยกำลังจากที่เคยสะสมมาเป็นพื้นฐานในการพิจารณาสังขาร เข้าสู่ไตรลักษณ์และละสังโยชน์ทั้งสิบประการ ก็บังเกิดเป็นอภิญญาทางฝ่ายพุทธ เป็นไปเพื่อการพ้นทุกข์ ทิ้งกิเลส ตัณหา อาสวะ เรื่องของทางโลกไปเสียสิ้น 

                ศาสตราวุธในโลกวิญญาณนี้ เคยได้ยินว่าบางท่านก็เป็นธนูก็มี ส่วนที่ผมเห็นศาสตราวุธของผมนี่ เป็นท่อนๆสีขาวสว่าง ยาวสัก 7-80 ซม. หัวท้ายมน เรียกว่าอะไรก็ไม่รู้ เอาไปทำอะไรก็ไม่รู้ อาจจะเอาไว้ใช้ตีกลอง แต่ว่ามีอันเดียว จะตีกลองได้ไง? อาจจะไว้ใช้ตีหัวหมาก็ได้อยู่ ดูๆไปแล้วช่างกระจอกงอกง่อยเสียเหลือเกิน ไม่ได้มีความเท่เหมือนศาสตราวุธอื่นๆแต่อย่างใด เป็นที่น่าอายไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง อยู่มาวันหนึ่ง เกิดอยากรู้ว่ามันเอาไปทำอะไรในโลกวิญญาณได้บ้างวะเนี่ย ว่าแล้วก็ขว้างออกไป มันก็ไปทั้งดุ้นๆอย่างนั้นแหละครับ ไม่มีอะไร คราวต่อมาก็สะบัดไปสะบัดมา ปรากฏว่าทีนี้ยืดออกเป็นแส้ สีขาวสว่างจ้า ยาวไปได้ 20-30 เมตรโน่นเลย บังคับให้ฟาดไปทางไหนก็ได้ แบบนี้คงจะเอาไว้ใช้ต้อนวัว ต้อนควายได้อยู่นะครับ จนปัญญาด้วยไม่รู้ว่าจะเอาไปใช้ทำอะไรได้บ้าง จึงต้องอธิษฐานเอาว่าในอดีตข้าพเจ้าเคยใช้ศาสตราวุธนี้ไปทำอะไรไว้บ้าง ก็เห็นแบบนี้ว่า

                แส้ที่ว่านี้เมื่อปล่อยหลุดมือไป ก็เปลี่ยนไปเป็นเหมือนเชือก เข้ารัดร่างกายตั้งแต่ข้อเท้า พันรอบตัวไปจนถึงคอของคนที่เราต้องการจะพันธนาการเอาไว้ สั่งให้รัดแน่นขึ้น แน่นขึ้นก็ได้ ถ้าผู้ถูกพันธนาการนี้มีฤทธิ์มาก ไม่ยอมจำนน ปลายแส้ที่คอก็ยืดออกมาทะลวงเข้าไปทางปาก ทะลุออกตูด แล้วตรึงติดไว้ที่พื้น สภาพผู้ถูกพันธนาการก็จะยืนแหงนหน้า พูดไม่ได้ เจ็บปวดทรมานพอสมควร ต่อมาแส้หรือเชือกเส้นนี้ก็มีหนามพุ่งออกมารอบๆเรียงกันเป็นระเบียบ เหมือนเป็นกงจักรเรียงซ้อนๆกัน จะว่าไปดูดีๆหนามมันก็ไม่ได้พุ่งออกมาหรอกครับ มันเหมือนการหุบร่มกางร่มมากกว่า พอหุบลงหนามก็ราบไปกับแส้ พอกางออก ก็แผ่ออกไปเหมือนเป็นกงจักร หนามนี้ก็จะปักฝังเข้าไปในเนื้อ ถ้าเป็นคนคงเลือดไหลท่วมตัว แต่ในโลกวิญญาณไม่มีเลือดให้เห็นแดงแต่อย่างใด ที่ผ่านลงคอ หนามก็ทะลุคอออกมา พอถึงปลายที่ปักลงดินก็กลายเป็นแท่งสีขาวสว่างเหมือนเดิม สักพักนึง หนามที่เป็นกงจักรนี้ก็เริ่มหมุน แต่ละวงจะหมุนทวนทิศกัน เนื้อก็จะโดนฉีก บดขยี้ สาดกระเซ็น เสียงกรีดร้องโหยหวนอยู่ในลำคอ เพราะปากก็ยังโดนปั่นจนฉีกกระจุยกระจาย ต่อมาก็เกิดเป็นเปลวไฟลุกอยู่รอบๆหนามกงจักร จากที่อยู่ติดกับผิวของหนามเป็นพะยับความร้อน ถัดออกมาหน่อยเป็นสีฟ้าอ่อนๆปนม่วง ถัดมาเป็นสีส้มๆแดงๆ ที่ลุกเป็นเปลวเลยก็คือเนื้อและกระดูกของผู้ที่ถูกพันธนาการ สภาพเหมือนตกอเวจีมหานรกชัดๆ แล้วดวงจิตดวงวิญญาณนี้ไม่แตกดับไปด้วยนี่สิ นี่มันอาวุธบ้าอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน ยังกะจำลองอเวจีมหานรกมาไว้ที่นี่ อาวุธที่อำมหิตผิดพวก อาวุธอื่นกำจัดฆ่าให้ตาย ดวงจิต ดวงวิญญาณก็แตกดับไปแล้วบังเกิดขึ้นใหม่ได้ แต่อาวุธนี้กลับตรึงวิญญาณไว้ให้ทรมานโดยไม่สามารถจุติไปในภพอื่นหรือสภาพอื่นได้ ต้องทนทรมานอยู่ในสภาพแบบนี้ไป จนกว่าจะสั่งให้หยุด ร่างนั้นจึงจะแตกสลายไปได้ เห็นสภาพความโหดเหี้ยมอำมหิตของอาวุธชนิดนี้แล้วอดนึกไม่ได้ว่าไอ้คนที่ครอบครองและใช้มันนี่จิตใจมันทำด้วยอะไรวะ จะชั่วร้ายอำมหิตขนาดไหน ไม่อยากนึกเลย ... ไม่อยากด่ามาก เดียวมันเกิดเอาอาวุธมาเล่นงานเราก็จะลำบาก แต่ว่าเจ้าของอาวุธนี้มันคงชั่วช้าอำมหิตจริงๆเลยนะ เอ้า...ว่าจะไม่ด่าล่ะ...เผลอจนได้...

                ก็ไม่น่าแปลกใจหรอกที่เวลาผมไปกราบครูบาอาจารย์ที่ท่านทรงคุณวิเศษทางจิต ท่านจะดุด่า ไล่ตะเพิด แม้จะแค่กำลังเอ่ยปากถาม คำพูดยังไม่ทันหลุดจากปากก็โดนด่าโดนไล่เสียก่อนแล้ว มันก็สมควรแล้ว....

วันก่อนนั่งทานข้าวเย็นไปดูทีวีไปด้วย เห็นข่าวน้องผู้หญิงคนหนึ่งป่วยอย่างกะทันหัน ต่อมเผือกก็ทำงานทันทีว่า น้องเขาป่วยจากโรคอะไรนะ แล้วเวลานี้น้องเขาอยู่ที่ไหนแล้ว จะรอดไหมนะ....

เวลาทานข้าวนี่สำคัญมากนะครับ เป็นเวลาที่เหมาะกับการเจริญสติและสมาธิสำหรับตัวผมเอง สมัยก่อน หลวงพ่อพิทักษ์ ปริสุทโธ พระธุดงค์ผู้สอนสติให้ผมนั้น ท่านเล่าว่า มีพระศรีลังกาจำนวนไม่น้อยบรรลุธรรมในขณะที่ฉันข้าวต้มร้อนๆตอนเช้า ท่านพูดให้ฟังแค่นี้ ที่เหลือไปพิจารณาเอาเองว่าเพราะอะไร ตอนนั้นก็เดินจงกรมไปพิจารณาไป ตอนกินข้าวก็พิจารณาไปด้วยมันเห็นแบบนี้ครับ ตาเห็นรูป หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส กายรับสัมผัส ใจรับธรรมารมณ์ เวลาเดินจงกรม จมูกอาจได้กลิ่นใบไม้ ความสดชื่นในอากาศ กลิ่นดอกไม้ ธูป เทียน ฯลฯ แต่ว่าลิ้นรับรสไม่ได้ เพราะไม่มีรสอะไร การพิจารณาก็ไม่เกิด พอเวลาจะกินข้าว ท้องเราหิว เกิดทุกขเวทนาเก่าคือความหิว เมื่อเห็นอาหารอาการอยากกินก็เกิดขึ้น ใจเห็นความอยากนี้แล้ว ก็สงบระงับลงไป ถ้ายังอยากอยู่เราก็ไม่กิน นั่งมองมันอยู่อย่างนั้น พอตักข้าวเข้าปาก รสชาติเกิดที่ลิ้น รับรส มีสติตามดูรสดังกล่าวที่เกิดขึ้น สัมผัสจากการเคี้ยว กลิ่นอาหารที่สัมผัสได้ เมื่อกลืนลงคอ ความรู้สึกของอาหารที่ผ่านลำคอ เป็นสัมปชัญญะ จนอาหารไปกระทบที่กระเพาะ รสชาติที่ปากนี้ก็หายไป อาการทุกขเวทนาคือความหิวก็ผ่อนคลายตัวลงทันทีที่อาหารตกกระทบถึงกระเพาะ รสชาติที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเคี้ยวแล้วก็ดับไปเมื่อกลืนอาหาร บอกว่ารสชาตินี้ไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเปลี่ยนแปลงและดับสลายหายไป ทุกขเวทนาคือความหิวที่เกิดขึ้นนี้ เมื่อกระทบเข้ากับก้อนอาหาร ก็มีอันต้องเสื่อมสลายหายไป ความยินดียินร้ายในรสชาติอาหารนี้ก็ไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมทรามสลายหายไป รวมความแล้ว ทั้งสุขเวทนา ทุกขเวทนา ก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ ควรหรือที่จะยึดถือว่าเป็นเราเป็นของของเรา ว่าตัวว่าตนของเรา ท่านผู้อ่านนิทานขี้โม้ทุกท่าน ก็พิจารณาได้เหมือนกันครับ นี่แค่ข้าวคำเดียว ทีนี้ก็พอจะเข้าใจที่หลวงพ่อพิทักษ์ ท่านพูดแล้วครับว่า ทำไมถึงมีพระศรีลังกาบรรลุธรรมเป็นจำนวนมากระหว่างการฉันข้าวต้มร้อนๆตอนเช้า 

                ปัญหาเรื่องการรู้การเห็นของผมด้วยอาศัยบารมีครูบาอาจารย์ท่านสงเคราะห์นั้นคือ มันเหมือนกับว่าผมไปยืนอยู่ในที่นั้นๆ ไม่ได้นั่งเห็นอยู่กับที่นี่แหละครับ พอไปถึงที่รพ. ก็เห็นน้องเขายืนก้มหน้าอยู่ตรงมุมมืด ถามว่าเป็นอะไร เธอก็เศร้ามาก เหลียวมองไปทางซ้ายก็เห็นร่างนอนอยู่บนเตียงมีเครื่องช่วยหายใจ มีสายยางระโยงรยางค์ เธอเข้าร่างไม่ได้ ลักษณะแบบนี้เคยเห็นมาหลายรายครับ สภาพนี้แม้ร่างกายยังทำงานอยู่ แต่ว่าในทางพุทธศาสนาหมายถึงว่าได้ตายไปแล้ว มองไปก็เห็นเป็นแผ่นดำๆขนาดเท่าฝ่ามือ ฝังอยู่ที่อกทั้งสองข้าง คล้ายๆแผ่นหนังสีดำๆ รูปร่างสี่เหลี่ยมจัตุรัส ไม่ได้เหลียวไปดูทางขวาเพราะรู้ว่าไอ้คนที่รับจ้างเขามาทำแบบนี้มันยืนจ้องอยู่ห่างๆ มองดูหน้าน้องแล้วก็สงสารแต่ว่าช่วยอะไรไม่ได้ ปัญหาก็เกิดจากคนที่แอบหลงรักแล้วผิดหวังเสียใจกลายเป็นความโกรธแค้น เอาว่ารู้แค่นั้นก็กลับ พอกลับมาถึงไอ้คนที่ทำมันเป่าของใส่ทันที มึนหัวตึ๊บขึ้นมา ก็อาศัยกสิณแสงสว่างครอบคลุมตัวแล้วก็นึกถึงหลวงปู่ หลวงปู่ท่านนั่งยิ้มมาอยู่เบื้องหน้าอาการมึนหัวหายไปในทันที เหมือนหลวงปู่จะยิ้มเยาะเย้ยว่าเป็นไงบ้าง ไปเสือกเรื่องชาวบ้านเขา มันก็แบบนี้เอง อันนี้ผมก็ผิดเอง ต้องกราบขออภัย ไม่ควรไปยุ่งเรื่องชาวบ้านจริงๆนั่นแหละ ดึกๆของคืนวันนั้น ก็ได้ข่าวว่าน้องเสียชีวิตไปแล้ว น่าสงสารมาก อายุยังน้อย ระหว่างที่พิมพ์อยู่นี้ดวงวิญญาณน้องก็ยังอยู่รพ.ไปไหนไม่ได้ ยังหิว ยังกระหาย เจ็บปวด และยังคงต้องเป็นสัมภเวสีนี้ไปอีกหลายสิบปีจนกว่าจะหมดอายุขัย จึงจะไปตามภพภูมิที่ตนเองประกอบผลของกรรมมา เป็นอุทธาหรณ์เตือนใจว่า ยามมีชีวิตอยู่ให้เร่งสร้างบุญ สร้างกุศล เพราะตายไปแล้ว บ่อยๆครั้งที่คนอื่นอุทิศบุญกุศลไปให้แล้ว ไม่อยู่ในสภาพที่จะรับได้ ผลบุญนั้นก็ยังคงลอยอยู่ รอเมื่อเวลาที่หมดวาระแล้วก็จึงจะสามารถเข้าถึงผลบุญนั้นได้ ต่างจากบุญที่กระทำด้วยตนเอง ย่อมประสบพบกับผลบุญนั้นได้ในทุกขณะจิตของตน

                มาว่าต่อถึงไอ้คนที่ทำนี้ มันก็ขว้างมีดหมอมาใส่ กะเอาเราตายเพราะไปเผือกเรื่องของมันเข้า เรื่องแบบนี้ปกติก็จะขอท้าวมหาราชทั้งสี่ให้ท่านช่วยปกป้องคุ้มครอง เพราะโลกียวิสัยนี้จะขอบารมีองค์สมเด็จ หรือพระอรหันต์ที่ท่านพ้นจากโลกียะเหล่านี้ไปแล้ว ก็ดูจะไม่เหมาะสม ท่านที่จะช่วยก็เป็นเทพเทวดาที่มีฤทธิ์ แต่ว่าครานี้เป็นพระโพธิสัตย์องค์ใหญ่ ท่านปรากฏต่อหน้า บังเอาไว้ แล้วปัดอาวุธนั้นทิ้งไป พระโพธิสัตย์เป็นผู้มากด้วยบารมี แต่ว่ายังไม่ได้เข้าสู่พระนิพพาน ดังนั้นท่านยังสังเคราะห์เรื่องทางโลกให้ได้ ส่วนเรื่องจะขอให้ท่านไปทำร้ายตอบโต้กับไอ้คนที่ทำมานั้น ไม่ได้แน่นอน ท่านเพียงมาปกป้อง ปัดเป่า ให้รอดพ้นจากภยันตรายเท่านั้น จะให้ท่านไปทำร้ายใครได้ยังไง อาวุธที่มีก็ปรากฏเป็นแส้เส้นสีขาวยาว สว่างจ้า ฟาดลงไปที่ตัวของไอ้คนที่ทำมา ฟาดเฉียงๆจากไหล่ขวาพาดลงมาที่เอวซ้าย ได้รับบาดเจ็บสาหัสในครั้งเดียว หมดฤทธิ์กันไป แยกย้าย เลิกรา เรื่องแบบนี้เวลาเล่ามันใช้เวลานาน แต่เวลาปะทะกันในโลกวิญญาณนั้นใช้เวลาแค่ชั่วขณะจิตเท่านั้น ใช้เวลาน้อยกว่ากระพริบตา เวลาใช้ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องมีการยกจิตขึ้นสู่สภาวะนั้นนี้ก่อนแล้วอธิษฐานโน่นนี่นั่น มันไม่มีหรอกครับ อันนั้นมันในหนัง หรือในนิยาย เอาจริงๆนี่ซัดกันเลยไม่มีการตั้งท่า ขืนมัวแต่ตั้งท่า โดนซัดมาตายห่านกันก่อนพอดี นี่เองที่หลวงพ่อฤษีท่านสั่งนักสั่งหนาว่า ฌานแกต้องทรงตัวให้ได้ ปกติต้องทรงฌาน๔ให้ได้ตลอดเวลา ยกเว้นเวลาพูดจะเป็นอุปจารสมาธิหรือปฐมฌานก็ได้ แต่ว่าทางที่ดีก็ควรจะฝึกให้เวลาพูดทรงฌาน๔ให้ได้ ของแบบนี้ไม่ใช่ของยากสำหรับคนที่เอาดีทางพระพุทธศาสนา แต่พวกที่มีจิตเป็นอบายภูมิก็จะบ่นว่ายาก สมัยนั้นผมก็เถียงในใจนะครับ ว่าปุถุชนต้องทำงาน เรียนหนังสือ ทำข้อสอบ ทำงานบ้านต่างๆ ไม่เหมือนพระสงฆ์วันๆไม่ต้องมีภาระแบบนี้ มันก็ต่างกันมาก จะให้มานั่งทรงฌานกันตลอดวันมันเป็นไปไม่ได้หรอก มาวันหนึ่งหลวงพ่อก็บอกว่า ฌาน๔ใช้งานกับฌาน๔ที่นั่งหลับตาปี๋มันไม่เหมือนกัน แล้วท่านก็บอกว่า เวลาทำข้อสอบ ทำงาน ก็ลดลงมาเป็นอุปจารสมาธิหรือปฐมฌานก็ได้ ถ้าฌาน๔มันหนักเกินไป เคลื่อนไหวทำอะไรไม่คล่องตัว แต่ก็ต้องไม่ทิ้งอารมณ์ฌาน การได้ครูบาอาจารย์ที่ฉลาด มีประโยชน์แบบนี้เองครับ เราเพียงแต่ฟัง ฟังแล้วคิดตาม จากนั้นก็ทำตามที่ท่านบอก ไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูก หลวงพ่อท่านบอกว่าใช้เวลาพรรษาเดียวก็ทำได้แล้ว ถ้าคนมันจะเอาดีเสียอย่าง ส่วนตัวผมเองคงมีกรรมและความระยำแสนสาหัส ใช้เวลากว่า 26 ปี ถึงจะพอทำได้ใกล้เคียงกับที่หลวงพ่อสั่งมา 

                เล่ามาก็ยืดยาวเกินไปแล้วนะครับ คราวหน้าค่อยเล่าให้ฟังว่า ตายก่อนอายุขัย ไปเป็นสัมภเวสี มันมีหลายแบบและหลายเงื่อนไข ทั้งในสภาวะที่ดำรงอยู่ในโลกนี้หรือโลกทิพย์ การทำบุญไปแล้วได้รับหรือไม่ได้รับ สัมภเวสีแบบไหนต้องให้อาหารแบบไหนถึงจะได้กินได้อยู่พอมีความสุขไปจนกว่าจะหมดอายุขัย เรื่องนี้เคยไปเผือกรู้เผือกเห็นมาในสมัยก่อนน่ะครับ ตามประสาคนขี้สงสัย แล้วจะเอามาเล่าให้ฟัง ประสานิทานขี้โม้ อ่านแล้วตรงไหนเป็นธรรม มีประโยชน์ก็นำไปใช้ได้ครับ ตรงไหนไร้สาระก็คิดเสียว่าบันเทิง บันเทิงไป อย่าจริงจังนะครับ

ความคิดเห็น

  1. ขอบคุณครับ อ่านทุกตอนครับ

    ตอบลบ
  2. ผมติดตามอ่านทุกตอน ชอบมากครับ รอตอนต่อไปครับ

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

กรรมมันหนีไม่ได้หรอก

บทนำ นิทานขี้โม้