แขวนวัตถุมงคลแล้วอึดอัด แน่นอก


แขวนวัตถุมงคลแล้วอึดอัด แน่นอก


          พี่ท่านนึงสงสัยว่าเกิดขึ้นจากอะไรแล้วจะต้องแก้ไขยังไง ทำไมตอนโน้นแขวนแล้วไม่เป็นไร ตอนนี้แขวนแล้วทำไมแน่นอก อึดอัด เรื่องแบบนี้ผมเคยเจอมาก่อน ไม่ใช่แค่อึดอัด บางทีก็มีความฮึกเหิม บ้าอำนาจ ใจร้อน หงุดหงิดง่าย บางคนเข้าใกล้ในรัศมี 1 วา รู้สึกได้เลยว่ามีพลังแผ่จากตัวเราไปกระแทกตัวเขาจนรู้สึกหวาดกลัวบ้าง ขนลุกบ้าง แบบนี้ก็มี

          ผมเคยสัมผัสกับประสบการณ์แบบนี้จากที่เคยแขวนจตุคาม วัดพุทไธสวรรค์ ยุคแรกๆ กับยันต์ครู หลวงพ่อขัน วัดนกกระจาบ ความรู้สึกเมื่อแขวนขึ้นคอปุ๊บ คือเหมือนมีพลังพุ่งเข้ามาที่อกแล้วแรงทะลุออกหลัง จะคล้ายๆโดนฟันศอกเข้าที่อกแรงๆ แต่ก็มีพลังเพิ่มเติมเข้ามาที่ร่างกายด้วยเหมือนกัน ให้มีความฮึกเหิม บ้าพลังขึ้นมาทันที อาการแบบนี้เวลานั้นมีความรู้สึกว่าไม่น่าจะดีต่อเซลล์ต่างๆในร่างกายเป็นแน่แท้ แต่การจะสลายพลังก็ทำไม่เป็น จะประสานพลังก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไง จะถามใครรึ ก็ไม่รู้ว่าจะไปถามใคร เดี๋ยวเขาจะหาว่าบ้าไปอีก ก็ต้องลองเข้าสมาธิดูว่าเป็นยังไง แล้วพอจะอาศัยกำลังสมาธิช่วยอะไรได้บ้าง

          ตอนนั้นพอเข้าสมาธิปุ๊บก็เห็นเป็นแสงสีขาวสว่างจ้า ออกจากวัตถุมงคล พอมีร่างกายเนื้อแนบอยู่ใกล้ชิด แสงสีขาวจ้านี้ก็พุ่งทะลุออกไปข้างหลัง เหมือนเราถือหลอดไฟแนบไว้กับอก แล้วแสงจากหลอดไฟพุ่งมาปะทะจุดที่ใกล้ที่สุดคือทรวงอก ความแรงที่มีมากนี้ก็ดันทะลุออกไปทางข้างหลัง มองดูพลังแบบนี้มีความกล้าแข็งมาก น่าจะแบบนี้รึป่าวที่เรียกว่า มหาอำนาจ เพราะถ้ามหาเมตตาควรจะสงบเย็น แช่มชื่นใจ อันนี้ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าในวงการเขาเรียกกันว่าอะไร เอาเป็นว่าเวลานั้นพอรู้สึกแบบนี้แล้วก็มองดูที่ร่างกายเรา กับพลังที่แผ่ออกมาจากวัตถุมงคล มันก็แยกกันอยู่ จึงลองทำดูว่าถ้าเราน้อม(ก็คือดึงนี่แหละนะ) เอาพลังนี้กระจายไปทั่วทุกๆปรมาณู ไม่ใช่ทุกๆเซลล์ในร่างกาย แต่เป็นส่วนที่เล็กลงไปในระดับอะตอม พลังนี้ก็แผ่ซึมเข้าไปในทุกๆอะตอม จนร่างกายนี้กับพลังที่แผ่ออกจากวัตถุมงคลนั้นเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกันไปหมด เสมือนหนึ่งว่าร่างกายนี้คือวัตถุมงคลด้วยเช่นเดียวกัน อันนี้ก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงดี เปรียบไปแล้วก็คล้ายๆกับการที่เราเอาเกลือมาละลายในน้ำ เกลือก็เหมือนวัตถุมงคลที่มีพลัง อานุภาพสูง ส่วนร่างกายนี้เหมือนน้ำ เมื่อนำมาหลอมรวมกันจนเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกันแล้ว น้ำก็ยังดูว่าเป็นน้ำ แต่ว่าไม่ใช่น้ำแบบเดิม มันคือน้ำเกลือ จะว่าคือเกลือ ก็ไม่ถูกเสียเลยทีเดียวเพราะว่าไม่ปรากฏอยู่ในรูปเกลืออีกแล้ว แต่จะว่าไม่ใช่เกลือหรือ มันก็ยังเค็มเท่าเดิม หลังจากที่ทำแบบนี้แล้วอาการอึดอัด แน่นอก หงุดหงิด ใจร้อน วู่วาม ก็บรรเทาเบาบางเจือจางลงไปจนกระทั่งไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติในการแขวนวัตถุมงคลนั้นๆอีก

          เล่าขั้นตอนไปเหมือนว่าจะยากและใช้เวลานานนะครับ แต่จริงๆแล้วใช้เวลาแค่ชั่วสูดลมหายใจเข้าให้เต็มปอดเท่านั้นก็สามารถทำเรื่องที่เล่ามาข้างต้นทั้งหมดได้แล้วครับ ผมว่าไม่ใช่เป็นของยากอะไร แต่อีกวิธีหนึ่งนั้นผมว่าค่อนข้างยาก แต่ว่าชาวบ้านบอกว่าง่ายมาก เพราะใช้สมาธิเพียงเล็กๆน้อยๆเท่านั้น ด้วยการน้อมจิตไปที่วัตถุมงคลที่แขวนอยู่นั้น แล้วทำจิตให้นอบน้อมอ่อนโยน เพื่อขอรับเอาพลังจากวัตถุมงคลนั้นๆเข้ามาในตัวเองทั้งร่างกายนี้ โดยไม่ต้องแผ่พลังกระจายไปทั่วทุกปรมาณูในร่างกายแต่อย่างใด การนอบน้อมอ่อนโยนนี้ เปรียบไปแล้วจะเหมือนเด็กตัวเล็กๆกำลังขอของที่อยากได้จากพ่อแม่ กริยาวาจาจิตใจนั้นขอนอบน้อมด้วยความเคารพรักอย่างสุดใจ ไม่มีลังเล สงสัย เคอะเขิน ใดๆทั้งสิ้น เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ใจล้วนๆ วิธีนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะในการดึงเอาพลังจากวัตถุมงคลมาเข้าตัวเท่านั้นนะครับ แต่ยังสามารถนำมาใช้เวลาที่พระอริยะ ท่านให้พร ก็จะสามารถนอบน้อมรับเอาพลังนี้เข้ามาสู่ตัวเองได้ ใครทำได้บ่อยๆ ร่างกายของท่านจะคล้ายๆวัตถุมงคลเคลื่อนที่ได้เลยทีเดียว มีพลังที่บรรจุเอาไว้ทั่วทั้งร่างกาย โรคภัยไข้เจ็บไม่ค่อยกล้ำกลาย ผีสางนางไม้ไม่ค่อยอยากเข้าใกล้ คุณไสยไม่กล้าเฉียดมาหา น่าเสียดายที่ผมพยายามมาสิบกว่าปีแล้ว ก็ยังทำไม่สำเร็จสักที ทำได้ก็ใกล้เคียง แต่ก็ทำให้สุดหัวจิตหัวใจไม่ได้ ตรงนี้เป็นสันดานเสียของผมเอง แต่เล็กจนโตต้องพึ่งพาลำแข้งตัวเองมาเสมอ อะไรที่เอ่ยปากอ้อนวอนขอร้อง นอกจากจะไม่ได้แล้ว ยังได้รับการดูถูกเหยียดหยาม จนกลายเป็นความพยายาม มุมานะที่จะทำอะไรต่างๆด้วยตนเอง จนมาได้ยินวลีจากหลวงพ่อกวย ที่ว่า “ชาติเสือ ไม่ขอเนื้อใครกิน” รู้สึกประทับใจมากว่า นี่แหละ ตรงกับที่ใจเรารู้สึกเสมอมา ทั้งที่จริงแล้วยังเป็นชาติหมาแท้ๆ อืมมม....ชาติแมวก็แล้วกันครับ ใกล้เคียงเสือสักหน่อยนึง อันนี้เป็นความไม่เจียมบอดี้ของผมเองนั่นแหละครับ เพราะคิดแบบนี้นี่แหละ มิจฉาฑิฐิมันเกิด มานะก็มา อวิชชานี่คลุมหัวเอาไว้เลยครับ มันสลัดยังไงก็สลัดไม่หลุด มันก็เลยไปต่อไม่ได้ ทั้งที่น่าจะเป็นเรื่องง่ายๆแท้ๆ กลายเป็นเรื่องยากสำหรับผมไปได้

          ทั้งที่ใจผมนั้นรักเคารพใน พระรัตนตรัย ไม่มีสงสัย มีความนอบน้อมยอมรับ แต่...มันมีตรงคำว่าแต่ นี่แหละครับ ตายตรงนี้เอง ถ้ายังมีแต่...ในใจเมื่อไหร่ มันยังไม่หมดสงสัย มันยังศรัทธาไม่เต็ม ไปต่อไม่ได้ก็ติดตรงคำว่าแต่นี่เอง... แต่อะไร... แต่ว่าการจะอ้อนวอนขอพระรัตนตรัยให้ดลบันดาลในสิ่งต่างๆเพื่อความสำเร็จในหน้าที่การงาน การเงินนั้น ผมไม่มีความเชื่อหรือเรียกว่าไม่มีความมั่นใจว่าขอแล้วจะได้ เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านๆมา เคยขอแล้ว บนบานศาลกล่าว ทั้งพระ ทั้งเทพ ไม่เคยมีผลใดๆ ทำให้ผมไม่เชื่อเรื่องการอ้อนวอนขอ ผมเชื่อว่า ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน เมื่อตนฝึกฝนตนอย่างดีแล้ว ย่อมได้ที่พึ่งอันหาได้ยาก เป็นพุทธพจน์ที่ทรงตรัสเอาไว้ แล้วผมก็เชื่อ เพราะผมพิสูจน์แล้วว่า เมื่อผมบนตัวเอง ผมฝึกฝนตนเองจนชำนิชำนาญ จนแตกฉานดีแล้ว กิจการนั้นๆย่อมสามารถทำให้สำเร็จลุล่วงไปได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาการสวดอ้อนวอนขอ หรือบนบานศาลกล่าวแต่อย่างใด จะว่าผมผิด มีมิจฉาฑิฐิ ก็ว่าได้ จะว่าผมถูก ก็มีส่วนถูก มันอาจจะขึ้นกับ เหตุการณ์ บุคคล กาลเทศะ สถานที่ ฯลฯ ที่จะทำในสิ่งที่เหมาะที่ควร ซึ่งผมยังคงต้องงมหากันต่อไป ที่เล่ามานี้ก็เพื่อให้ท่านทั้งหลายเข้าใจว่า ผมยังเป็นปุถุชน ยังไม่ได้มีคุณธรรมอันวิเศษใดๆ ยังมีความหลงผิด หลงทาง หลงธรรม ยังไม่ได้มีอะไรดี จะมีก็แต่นิทานขี้โม้นี่แหละ ที่เอามาเล่าสู่กันฟัง พอได้แก้เซ็ง ก็ขออย่าได้จริงจังนะครับ เอาเป็นแค่นิทานฆ่าเวลาก็พอ


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ศาสตราวุธในโลกวิญญาณ

กรรมมันหนีไม่ได้หรอก

บทนำ นิทานขี้โม้