มันก็ไม่แน่


มันก็ไม่แน่


          สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ ไม่ว่าทางโลก ทางธรรม ไม่ว่ารูป หรือว่าอรูป ทั้งหมดทั้งสิ้น ล้วนแล้วแต่ไม่เที่ยง หาความแน่นอนไม่ได้ ความจริงทั้งหลายทั้งมวลบนโลกนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเรื่องสมมติ สิ้นสมมติเมื่อไหร่ ก็หมดปัญหาเมื่อนั้น

          นิทานขี้โม้ ก็หาความเที่ยงแท้อะไรไม่ได้เช่นกัน เป็นเรื่องของอุปทาน เป็นเรื่องของสมมติ หาความจริงไม่ได้ สำหรับนักปฏิบัติธรรม เจริญกรรมฐานแล้ว นับเป็นเรื่องเลวร้าย ที่ไม่น่าให้อภัย แต่ถ้านับเอาประสาปุถุชน คนที่ยังมีกิเลสหนา ตัณหามาก ก็จัดว่าเป็นนิทานเอาความเพลิดเพลินสนุกสนาน แบบเดียวกับนิทานอีสป ที่ตัวละครเป็นสัตว์แล้วพูดภาษาคนได้ด้วย ก็เป็นเรื่องสมมติขึ้นทั้งนั้น

          นิทานขี้โม้ที่จะเล่าต่อไปนี้ มีความล่าช้าออกไป เพราะว่ายังทำใจรับกับความห่วยแตกของตัวเองไม่ได้ เป็นความรู้สึกแย่ที่ไม่สามารถจะทำอะไรได้เลย ช่วยอะไรก็ไม่ได้ อีกทั้งความรู้ความเห็นต่างๆก็เป็นเพียงอุปทาน หาความจริงแท้อะไรไม่ได้ นับว่าเป็นความรู้สึกแย่ๆที่เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งในชีวิต

          หลังงานศพน้องชายแฟน ก็ไปกราบขอเรียนถามลุงพุฒิถึงอายุขัยของแม่ยาย เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่ไม่เห็นลุงพุฒิจะพูดหรือจะแนะนำอะไร มองไปที่สมุดบันทึก เล่มสีทอง ที่เปิดกางอยู่ หน้านึงนี่ขนาดสัก 4x8 ม. พอกางออกมาก็จะมีขนาดประมาณ 8x8 ม. เห็นจะได้ มองลงไปก็ไม่เห็นมีตัวหนังสืออะไรเลย เป็นแต่หน้าว่างๆเปล่าๆ หันไปจะถามลุง ท่านก็ไม่พูดไม่ตอบ ในใจเวลานั้นก็รู้สึกได้ว่า แม่ยายหมดอายุขัยแล้ว จะอยู่ได้ไม่เกินสิ้นปี เป็นการหมดอายุขัยที่ไม่สามารถต่ออายุได้อีกแล้ว ผมลงไปกราบขอความอนุเคราะห์จากลุงพุฒิ 3 วาระด้วยกัน ก็ปรากฏว่าทุกอย่างเหมือนเดิม คือช่วยอะไรไม่ได้

          ผมรู้ตัวเองดีว่าเป็นเพียงมนุษย์ปุถุชน มันหาความเที่ยงแท้แน่นอนอะไรไม่ได้อยู่แล้ว จึงได้เดินทางไปกราบเรียนขอคำแนะนำ จากพอจ. ที่จ.เชียงราย พอจ.ท่านเทศนาอยู่จนเย็น กว่าจะตอบคำถามว่า แม่ยายไม่เป็นไร ยังไม่หมดอายุขัย ทำให้ผมสบายใจว่า สิ่งที่ผมรู้เห็นมานั้นมันเป็นเพียงอุปปาทานเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องจริงแต่อย่างใด กลับมาก็ยังมาเล่าให้ภรรยาและแม่ยายฟัง ทุกคนก็สบายใจ จนกระทั่งแม่ยายไปรพ.เพื่อตรวจสุขภาพตามหมอนัด ระหว่างเช็คความดัน อัตราการเต้นของหัวใจ และปริมาณออกซิเจน พบว่าออกซิเจนต่ำ ความดันต่ำ หมอจึงให้แอดมิท เพื่อให้ออกซิเจน พบการติดเชื้อในปอด ให้ยาฆ่าเชื้อสัก4-5วันก็น่าจะกลับบ้านได้ แล้วก็ไม่ได้เป็นไปตามที่หมอบอก อาการทรุดหนักลง ต้องสอดท่อให้อาหาร ให้ยากระตุ้นความดันเพิ่มขึ้น ติดเชื้อในกระแสโลหิต อาการเริ่มไม่ดี มองเห็นน้องชายแฟนที่พึ่งเสียชีวิตไป มาร่ำร้องคร่ำครวญจะให้แม่ไปอยู่ด้วย มีตัดพ้อต่อว่าต่างๆนานา ผมก็เริ่มสับสน ไม่แน่ใจแล้วว่า สิ่งต่างๆที่รู้ที่เห็นมันคืออะไรกัน ก็ในเมื่อเราสะกดวิญญาณเอาไว้ในท้องทะเลแล้ว ตอนลอยอังคาร แล้วที่เราเห็นมาหาแม่นี้คืออะไร ตอนนั้นก็ทราบว่าเป็นกระแสจิต เป็นกระแสจิตอาฆาต เศร้าหมอง ไม่พอใจ ตัดพ้อต่อว่า กระแสจิตที่ส่งมาจากวิญญาณที่ตายไปแล้ว แม้ว่าจะถูกสะกดไว้ที่ใต้ทะเล แต่ไม่อาจสะกดกระแสจิตเอาไว้ได้ เรื่องแบบนี้ก็มีด้วยเหรอ? แม่เริ่มไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป นึกอยากจะตายเพื่อไปหาลูกชาย หรือว่าเราอุปทานไปเอง พอจ.บอกว่าแม่ยายไม่เป็นไรนินา เราต้องเชื่อท่าน ท่านเป็นพระ มีศีลมากกว่า ปฏิบัติธรรมอย่างหนักมาแล้วนับแสนชั่วโมง แม่ยายคงไม่เป็นไร เราอุปปาทานไปเอง ท่องเอาไว้แบบนี้

          นั่งสมาธิไป จู่ๆก็เห็นพ่อตา แต่งตัวเหมือนตอนยังมีชีวิตอยู่ ก็เลยถามว่าพ่อจะมารับแม่ไปเมื่อไหร่หรือ พ่อก็บอกว่าเดือนธันวาคม พ่อจะมารับแม่ไป ในใจก็คิดว่าเป็นไม่ได้หรอกเราคงอุปปาทานไปเอง เพราะว่าพอจ.ท่านก็บอกว่าแม่ไม่เป็นไร ตอนนั้นเลยตัดสินใจทำบุญบ้าน เพราะบ้านแม่ยายอยู่มาร่วมสิบปีไม่เคยทำบุญเลี้ยงพระ นิมนต์พระแล้ว ตกลงกับร้านอาหารแล้ว เคลียร์บ้านแล้ว ก็ไปอาบน้ำ กำลังอาบน้ำอยู่ก็เห็นตาลุงปะขาว ก็เลยบอกว่าจะทำบุญเลี้ยงพระที่บ้านนะ ลุงมาโมทนาด้วย แกว่าข้ารู้แล้ว .... เอ็งไหว้ข้าด้วย...ก็เลยถามว่าจะให้ไหว้อะไรบ้าง แกว่าต้มปลา ทองหยิบทองหยอดฝอยทอง บุหรี่ ก็ถามว่าเหล้าด้วยไหม แกว่าไม่ต้อง ตอนเช้ามาก่อนพระจะมาถึงก็จัดไหว้ตามนั้น เปิดชุมนุมเทวดาของหลวงพ่อ พรหมเทวดามากันครบ เหมือนสมัยหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ ก็อราธนาตามที่หลวงพ่อสอนมาทุกอย่าง เห็นตาลุงปะขาวมายืน แต่ว่าใส่เครื่องแบบมาเต็มยศ เป็นเทวดาหล่อเพี้ยวมาก ไหว้เสร็จเก็บของ พระก็มาพอดี สวดเสร็จ ส่งพระ เลือดกำเดาแตก คงเพราะเหนื่อยจัด วิ่งวุ่นอยู่คนเดียว แก่แล้วด้วยมั๊ง เลือดกำเดาแตก ก็เอาผ้าอุดไว้ล้มตัวลงนอนสักพักอาการก็ดีขึ้น อยากรู้ว่าแม่ยายจะดีขึ้นไหม ก็ไม่เห็นอะไร ยังคงรู้ว่าอยู่ไม่เกินสิ้นปีนี้เหมือนเดิม อย่างมากไม่เกินสงกรานต์ ใช่แล้วครับ ผมอุปปาทานไปเอง สมาธิอะไรที่ว่ามานั้นมันเป็นเรื่องเหลวไหลขี้โม้ไปเองครับ ผมไม่ได้เรื่องและไม่เอาไหนใดๆเลย อันนี้รู้สึกตัวเองว่าแย่จริงๆ อ่อนซ้อม กระจอก สารพัดก็แล้วแต่จะเรียก

          3 พฤศจิกายน 2562 ไปเยี่ยมแม่ยาย วันนั้นเจาะน้ำไขสันหลังไปตรวจหาเชื้อ หมอบอกว่าสงสัยว่าติดเชื้อแต่ติดเชื้อจากตรงไหนไม่รู้ ความดันตก ไม่รู้สาเหตุ อาจจะติดเชื้อที่สมอง จึงเจาะน้ำจากไขสันหลังไปตรวจ หลังเจาะแล้วเจ็บ จะต้องนอนหงายไป6ชม. ไปเยี่ยมเลยไม่ได้คุยอะไรกัน แต่ความรู้สึกเหมือนจะไม่ค่อยดีแล้ว ตอนเย็นพี่เลี้ยงกลับมารายงานว่า ไข้ขึ้นสูง หายใจไม่ออก ต้องเปลี่ยนมานอนตะแคง ยกหัวสูง คืนนั้นก็นั่งสมาธิไปตามปกติ ไม่ได้คิดอะไร เป็นเพียงการฝึกจิตตามปกติ ก็เห็นแม่ยายเดินมาหา มาบอกว่า “........ แม่ไปก่อนนะ” มองเลยไปข้างหลังแม่ยาย ก็เห็นพ่อตา ยืนอยู่ข้างขวามือพ่อตาก็เป็นลูกชาย เช้ามาเล่าให้ภรรยาฟัง เธอก็ไปเยี่ยมแม่ เย็นกลับมาบอกว่าแม่ยังลืมตาได้ กรอกตาได้ ยังมองตามได้อยู่ จะบอกว่าวิญญาณแม่ออกจากร่างมาหา ว่าแม่ตายแล้วได้ยังไง อืมมม... มันก็จริงของเขา เราคงจะอุปปาทานไปเอง ถ้าตายแล้วจะลืมตา กรอกตาได้ไง

          วันต่อมาหมอโทรมาบอกว่า หัวใจหยุดเต้น ปั๊มกลับมาแล้ว จะให้เอาไงต่อ ไปคุยกับหมอก็บอกว่าติดเชื้อร้ายแรงเป็นเชื้อดื้อยา ให้ยาฆ่าเชื้อตัวที่แรงที่สุดแล้ว ให้ยากระตุ้นและออกซิเจนระดับสูงสุดแล้ว จะเอาไงต่อ ก็เลยคุยกับหมอตรงๆเลยว่า ไม่รอดแล้วใช่ไหม หมอก็บอกว่า หมอพูดไม่ได้แต่ก็อย่างที่ญาติเข้าใจ ในเมื่อเชื้อดื้อยาแล้วจะให้ยาฆ่าเชื้อไปเพื่อฆ่าคนป่วยเหรอ? เพราะในเมื่อมันฆ่าเชื้อไม่ได้? เชื้อนี้อยู่ที่รพ.มาตลอด ไม่มีทางกำจัดแล้วเดือนๆนึงนี่ต้องติดเชื้อตายกันกี่ศพ ? มากมายในคำถามที่ขัดแย้งกันเองของตรรกะ หมอต้องการคำตอบจากญาติคนไข้ และเซ็นเอกสาร ก็เลยต้องบอกไปว่า Full medicine , No CPR  ในที่สุด ตี 3.20 น. คือเช้าวันที่ 7 พฤศจิกายน พยาบาลก็โทรมาแจ้งว่า คุณแม่เสียชีวิตแล้ว

          จัดงานศพเป็นครั้งที่3 ในระยะเวลาไม่ถึง 5 เดือน วัดเดิม ศาลาเดิม เมรุเดิม ทุกอย่างเหมือนเดิม วนๆไป 3 รอบ ลอยอังคารก็ที่เดิม สวดคืนแรก เห็นแม่ยายมายืนอยู่ตรงหน้า แสดงท่าทางดีใจ อุทานมาว่า แหมมมม...แม่มีความสุขเหลือเกิน แม่มีความสุขเหลือเกิน แม่ได้เจอพ่อเจอลูกชายแล้ว .... จะเล่าให้ใครฟังได้เหรอ ในเมื่อมันเป็นเพียงอุปปาทานของข้าพเจ้าเท่านั้นเอง ฝึกมาหลายสิบปี ช่วยอะไรไม่ได้เลย รู้สึกว่าตัวเราเองนี้ช่างน่าสมเพชจริงๆ ได้เจอครูบาอาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ มากบารมีแห่งยุคสมัย แต่เรากลับหาสาระอะไรไม่ได้เลย วันลอยอังคาร เห็นวิญญาณลูกชาย ยืนหัวเราะชอบใจ บอกว่า”เป็นไงล่ะ 5555+ “ เป็นวลีเดียวที่แทนทุกๆสิ่ง ทุกๆเหตุการณ์ออกมาได้ทั้งหมด เห็นแม่ยืนอยู่กับพ่อ ได้แต่ขออาราธนาบารมีองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย เห็นหลวงพ่อปาน หลวงพ่อฤษี หลวงพ่อทวด ท่านมาปรากฏ จึงอธิษฐานขอผลบุญทั้งหลายที่ข้าพเจ้าเคยทำมาตั้งแต่ครั้งที่เริ่มต้นบำเพ็ญบารมีจะมีแต่เพียงใดขออุทิศส่วนกุศลทั้งหมดนี้ให้แก่พ่อตาแม่ยายที่อยู่เบื้องหน้านี้ ขอให้ได้รับประโยชน์และความสุขเฉกเช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าจะพึงได้รับโดยครบถ้วนทั้งสิ้นทุกประการ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด และผลบุญใดที่พ่อตาแม่ยายได้เคยทำไว้ มีสังฆทานเป็นต้นขอให้ผลบุญทั้งหลายเหล่านั้นจงมาดลบันดาลให้ท่านทั้งสองได้ไปสุคติภูมิ ขออาราธนาท้าวมหาราชทั้งสี่ ได้ช่วยสงเคราะห์ให้กับพ่อตาแม่ยาย ได้ไปสู่สวรรค์ตามผลบุญที่ท่านทั้งสองได้ทำมาด้วย จบคำอธิษฐาน พ่อตาก็เปลี่ยนเครื่องทรงเป็นสีน้ำเงินปนเขียว แม่ยายเป็นชุดขาวปักดิ้นทองพร้อมเครื่องประดับแวววาว ท้าวมหาราชทั้งสี่ท่านก็สงเคราะห์ไปส่งให้ถึงวิมาน เป็นวิมานทองคำ มีแท่นสำหรับนั่งอยู่ตรงกลาง เห็นทั้งสองนั่งลงไป กุมมือกันไว้ ยิ้มน้อยๆอย่างพอใจแล้ว เพียงเท่านี้ก็ลากลับมา มาจัดการกับมัน.... ขออัญเชิญท้าวพญายมราช ยมทูต ผู้มีหน้าที่ควบคุมกฎของกรรม และ ขอเชิญเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ของนาย.......จงปรากฏ ขอให้ผลกรรมทั้งหลายที่นาย.......ทำมา จงมาสนองต่อดวงจิตดวงวิญญาณของนาย...... และขอให้ยมทูต ผู้มีอำนาจหน้าที่ควบคุมกฎของกรรม จงมานำดวงจิตดวงวิญญาณ ของนาย...... ไปรับโทษรับกรรม ตามที่ได้เคยทำมา ณ บัดเดี๋ยวนี้เถิด ภาพที่เห็นคือ ถูกหิ้วปีกลากไป จองจำ ตรึงไว้กับเสา มีเปลวไฟลุกท่วมตัว เสียงแหกปากร้องจนสุดเสียง .... จงไปรับกรรมของเจ้าเสีย ต่อไปนี้จะไม่สามารถทำร้ายใครได้อีกแล้ว

          จบงานแล้ว ช่วยอะไรไม่ใครไม่ได้เลย สิ่งที่รู้ที่เห็นทั้งหลายนั้น ตอนนี้รู้แล้วว่า เป็นเพียงอุปปาทานของเราเองเท่านั้น หาประโยชน์ หาสาระไม่ได้เลย เป็นวันที่อ่อนล้าในหัวใจ และเป็นวันที่จะมุ่งสู่การฝึกฝนจิตใจให้ยิ่งๆขึ้นไป ฝึกอยู่เงียบๆ เพื่อกำจัดอุปปาทานในใจตัวเอง มีสติตามดูจิต มีสัมปชัญญะ รู้สึกตัวทั่วพร้อม ทรงกำลังใจเอาไว้ให้มั่นคง ไม่ส่งจิตออกนอก กายผ่อนคลาย จิตเบาสบาย เฝ้ามองสิ่งชั่วในดวงใจ หากุศโลบายในการละอุปปาทานในใจตนเอง หวังไว้ว่าสักวันหนึ่งภายภาคหน้า เครื่องเศร้าหมองทั้งหลายจะคลายตัวลง คงสักวันหนึ่ง

          นิทานขี้โม้ตอนนี้เป็นตอนที่เครียดไปหน่อย แต่ก็ยังหวังว่าจะมีสาระอะไรบางอย่างให้กับท่านที่ผ่านมาอ่าน ส่วนผู้เขียน คงต้องลาไปฝึกฝนจิตใจตนเองอย่างเงียบๆต่อไป

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ศาสตราวุธในโลกวิญญาณ

กรรมมันหนีไม่ได้หรอก

บทนำ นิทานขี้โม้