ผีบ้าสิงใจ



ผีบ้าสิงใจ

          ทำไมเรื่องดีๆคิดกันไม่ได้นะ เรื่องบ้าๆเรื่องโง่ ไร้สาระ คิดแล้วทำมันลงไปได้ยังไง เดือดร้อนกันไปทั่วราชอาณาจักร ทำไมเห็นผิดเป็นถูก เห็นกงจักรเป็นดอกบัว คนเตือนแล้วบอกแล้วก็ไม่ฟัง จนต้องวิบัติฉิบหายให้ได้ใช่ไหม? ใครดีด้วยก็ไปเอารัดเอาเปรียบเขา คนที่เลวๆขี้โกง ถ่อย สถุน กลับไปยอมพวกมัน แล้วก็มาบอกให้กฎแห่งกรรมทำหน้าที่ พวกเอ็งงอมืองอตีนไม่ทำหน้าที่ แล้วจะไปให้กฎแห่งกรรมที่ไหนมาทำหน้าที่วะ กฎแห่งกรรม ก็คือกฎที่เกิดจากการกระทำของคนโดยมีเจตนาแล้วลงมือกระทำไปจนเห็นผลนั่นแหละ ไม่ได้มีตัวอะไรมาแสดงอาการวิบวับช่วยดลบันดาลอะไรหรอก เลิกพึ่งเวรพึ่งกรรมแล้วหันมาพึ่งตัวเองได้ไหม เมื่อไหร่จะหายโง่ เมื่อไหร่จะคิดได้ หรือต้องตายไปอีกกี่แสนชาติ....

          เมืองไทยเดินทางมาถึงจุดนี้ได้ยังไง? ก็มันเดินเป็นวงกลมไง พอครบรอบมันก็ต้องเวียนไปอย่างนี้แหละ ที่เปรียบไปแล้วเหมือนกงล้อเกวียนที่หมุนเวียนไปมาแบบนี้เอง มันก็เป็นวัฎจักร นี่ก็สองร้อยกว่าปีแล้ว มันก็วนเวียนกันมาบรรจบครบรอบอีก มีโหรทำนายว่า พ้นวันที่ 17 มีนาคม 2563 ประเทศไทยจะดีขึ้น พ้นจากภัยโรคระบาดโควิด แล้วทำนายต่ออีกว่า กรกฎาคม 2565 ประเทศไทยจะเจริญก้าวหน้า เป็นประเทศที่เนื้อหอม ใครๆก็อยากจะมาค้าขายด้วยลงทุนด้วย จะเป็นประเทศที่มีอำนาจ โดดเด่นขึ้นมา

          อันนี้ก็ย้อนไปหลายปีก่อน ที่ผมเคยทำนายไว้ว่า ปี 2565 จะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นกับประเทศไทย อาจถึงขั้นเสียเอกราช ก็รอดูกันไปว่าจะเกิดก่อน 2565 หรือว่าจะกลายเป็นดี มีความศิวิไลซ์ ในปี 2565 เชื่อว่าท่านทั้งหลายคงอยากให้เมืองไทยเป็นเมืองที่มีความสุขความเจริญ มีสิ่งดีๆเกิดขึ้นกับแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง แต่ก็มองไม่เห็นว่ามันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร กับกระบวนการยุติธรรม ที่มันบิดเบี้ยว กับการทุจริต ทรยศ กดขี่ ข่มขู่ ฉ้อราษฎร์บังหลวง ใช้อำนาจทำผิดให้กลายเป็นถูกอย่างหน้าด้านๆไร้ยางอาย ทั้งเฮโรอีนกลายเป็นผงแป้ง ทั้งกักตุน ส่งออกหน้ากาก โดยไม่คำนึงถึงชีวิตและความปลอดภัยของคนในชาติ โดยเฉพาะบุคลากรทางการแพทย์ที่สู้อุตส่าห์เสียสละชีวิตเพื่อผู้ป่วย ผีบ้าอะไรมาสิงใจคนไทย

          ผู้พิพากษาที่เรียกร้องความยุติธรรม ต้องฆ่าตัวตาย  ด้วยต้องคดีอาญา ทั้งที่ออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมโดยไม่มีใครสนใจจะฟังสิ่งที่ผู้พิพากษาท่านนี้พูด ชีวิตที่ท่านปลิดชีพตัวเองด้วยหวังว่าจะมีใครได้ยินความอยุติธรรมที่ท่านได้รับ กลายเป็นก้อนหินก้อนเล็กๆกระทบผิวน้ำ กระเพื่อมเป็นระลอกเล็กๆแล้วก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว ข่าวร้าย ถูกข่าวที่ร้ายยิ่งกว่าทับถมมันลงไป จากเดือนละข่าว เป็นเดือนละหลายข่าว กลายเป็นวันละหลายข่าว ข่าวความชั่วร้าย นับวันยิ่งพบว่ามีข่าวที่ชั่วร้ายยิ่งกว่า เกิดขึ้นระลอกแล้วระลอกเล่าไม่หยุดหย่อน

          อยุธยาตอนปลายก่อนเสียกรุงครั้งที่สอง กษัตริย์ผู้ปกครองนครในเวลานั้น หมกมุ่นกับสุรานารี โดยเฉพาะนารี นี่ลุ่มหลงจนโงหัวไม่ขึ้น วันๆก็ไม่มีเรื่องราชกิจเพื่อราษฎร เอาเรื่องสนุกสนานบันเทิง มั่วผู้หญิง ข้าราชการได้โอกาสก็ขูดรีดประชาชน ขึ้นภาษี ขึ้นค่าธรรมเนียมต่างๆ ยักยอก โกงกินกันสนุกสนาน ใช้กฎหมายในการทำความชั่ว ทำชั่วเท่าไหร่ไม่เป็นไร เพราะผู้รักษากฎหมายในเวลานั้นเป็นพวกเดียวกัน ร่วมกันทำชั่วไปด้วยกัน กฎหมายเวลานั้นไม่ได้เป็นเครื่องมือในการรักษาความยุติธรรม แต่เป็นเครื่องมือในการปกป้องขุนนาง และผู้มีอำนาจ เป็นเครื่องมือในการทำร้ายราษฎร และเอารัดเอาเปรียบ ราษฎร ทุกข์ยากแสนเข็ญ กษัตริย์ ขุนนางกังฉิน มีความสุขสบาย ร่ำรวย เหยียบย่ำรังแกราษฎร พระสงฆ์องคเจ้าที่ประพฤติดีปฏิบัติชอบ ต้องหมายคดีต้องอาญา ต้องหลบหนีเข้าป่าไป พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง เวลานั้นก็ไม่เห็นจะมี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายก็หลบหนีกันไปหมด เวลานั้นผีบ้า ก็เพ่นพ่านไปมาเต็มบ้านเต็มเมือง อลัชชีก็เป็นใหญ่ ผู้คนงมงายฝักใฝ่ในผีสาง ไสยเวทย์ ในที่สุดแผ่นดินก็ถึงกาลล่มสลาย แม้พม่าไม่บุกเข้ามาทำลาย แผ่นดินก็ฉิบหายย่อยยับลงไปเสียก่อนแล้ว

          จากปี 2549 ที่ได้เห็นไอ้ตัวดำๆ ปีนขึ้นมาจากขุมนรก มาสิงสู่จิตใจผู้คนให้เสียสติ เห็นผิดเป็นชอบ ทำตัวเป็นบ้าคลุ้มคลั่ง ไร้เมตตา หาคุณธรรมไม่มี ปลายปี 2562 ในวาระที่ได้เข้ากรรมฐานที่วัดท่าซุง นับเป็นครั้งแรก ตั้งแต่หลวงพ่ออนันต์ได้เริ่มจัดงานธุดงควัตร นับเป็นปีที่ 27 และคงเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้ไปร่วมเข้ากรรมฐานด้วย เมื่อมองผ่านจิตของปุถุชนอย่างข้าพเจ้า ก็ไม่เห็นแสงสว่างในแผ่นดินไทยอีกแล้ว ผีบ้าสิงสู่ใจ ทั้งพระทั้งชี ชาวบ้าน ต่างถูกสิงสู่ไปจนแทบสิ้นแผ่นดินเสียแล้ว บันทึกนี้ พิมพ์เอาไว้ในวันที่ 14 มีนาคม 2563 วันที่มองไม่เห็นแสงสว่าง ในวันที่กราบหาครูบาอาจารย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่เคยคุ้มครองปกป้อง ประชาราษฎร์ ปกป้องแผ่นดิน พระศาสนา ท่านทั้งหลายอยู่ห่างไกลจากแผ่นดินนี้ไปมาก ทรงอุเบกขาญาณ มองดูอยู่เฉยๆ ข้าพเจ้าพอจะเข้าใจได้ กาลเวลานี้มันคงต้องเป็นแบบนี้นี่แหละ เป็นไปตามธรรม เป็นไปตามโลก มันย่อมเป็นของมันอย่างนั้นเอง ท่านผู้เข้าถึงธรรมแล้วย่อมไม่ฝืนในธรรม กลับมาย้อนมองดูรอบๆตัว รอบๆบ้าน เห็นแต่ผีบ้า เดินกันเพ่นพ่าน เหิมเกริม ไม่หวาดกลัวพระ ไม่กลัวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆอะไรอีกแล้ว ให้เกิดคำถามขึ้นในใจว่า นี่มันเกิดอะไรขึ้น แล้วก็ย้อนระลึกไปว่า ในสมัยอยุธยาตอนปลายก็เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมาแล้ว ข้าพเจ้าก็ไม่รู้จะเรียกสภาวะแบบนี้ว่าอย่างไรดี จึงขอตั้งชื่อเอาเองว่า “ผีบ้าสิงใจ”

          ยิ่งชั่วช้า ยิ่งสกปรก ยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งหน้าด้าน ไร้ยางอาย ผีบ้ายิ่งชอบอกชอบใจ จนกว่าจะถึงกาลวิบัติฉิบหาย ใครอยากรู้ว่าแก้ไขอย่างไร ก็ตอบไว้ตรงนี้เลยว่า แก้ไขไม่ได้แล้ว มันต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัย ต้องแตกดับฉิบหายไปจนหมดสิ้น นารีขี่ม้าขาวไม่มี คนที่จะมากอบกู้ชาติไทย ไม่มี ซากปรักหักพังในเวลาที่อยุธยาสูญสิ้นเป็นเช่นไร ก็จะหวนกลับมาให้เห็นเช่นนั้น การทรยศหักหลัง ล้างผลาญจะบังเกิด ในเวลานั้น คนที่หนีจะเป็นคนที่รอด คนที่หนีก่อนจะหนีทัน คนที่หนีไม่ทันก็ย่อมไม่รอด กษัตริย์ในอยุธยาตอนปลายหนีไม่ทัน ต้องไปอดตายในป่า แตกต่างจากยุคสมัยนี้ที่การเดินทางสะดวกสบาย รวดเร็ว ใครมีเงิน มีอำนาจ ย่อมหนีได้เร็ว หนีได้ทัน ชาวบ้านทั่วไปหนีไม่ทัน หลวงพ่อฤษีท่านสร้างวัด สร้างห้องพักไว้จำนวนมาก เตรียมการรอรับทั้งโรคระบาด สงครามนิวเคลียร์ ทุกข์เข็ญที่จะเกิดขึ้นกับพุทธบริษัทฯ โรงทานอาหารพื้นบ้านที่กินง่ายอยู่ง่าย เพื่อปกป้องลูกศิษย์ของท่านให้พ้นจากทุกข์ภัย ผ่านมาเกือบ 30 ปีแล้ว ลูกศิษย์หลวงพ่อก็ล้มหายตายจากไปมากแล้ว พวกที่ผีบ้าสิงใจก็มีมากมายที่แทรกตัวเข้าไปอาศัยวัดเป็นที่กำบัง ทำมาหากิน จนกระทั่งเมื่อเกิดเรื่องราวร้ายแรงขึ้นมา ผีบ้าพวกนี้ก็จะเข้าไปทำลายแหล่งพักพิงที่หลวงพ่อท่านได้สร้างเอาไว้ ผีบ้าสิงใจ มันแทรกซึมไปทั่วหมดแล้ว นอกจากแตกดับล่มสลายแล้ว ไม่เห็นมีทางอื่นจะเยียวยาแก้ไขได้เลย

          พระเจ้าตากสินที่เคยกอบกู้แผ่นดินจะไม่มีอย่างพระองค์ท่านเกิดขึ้นอีกแล้วในรอบนี้ คนที่จะมีอุดมการณ์เสียสละชีวิตตนเองและบริวารลูกเมียให้กับการถูกทรยศหักหลัง จะไม่เกิดขึ้นอีก ผู้คนต่างจะหนีเอาตัวรอด เหยียบย่ำทับถมคนอื่นๆขึ้นไปเพื่อให้ตัวเองรอด แน่นอนว่า พวกที่ผีบ้าสิงใจ จะเหยียบย่ำชีวิตผู้คนทั้งหลายที่ต้องตกตายลงไป เพื่อให้ตัวเองรอดได้อย่างไม่ละอายแก่ใจ ไม่กลัวบาป ไม่กลัวนรก เพราะผีบ้ากับนรกเป็นของคู่กัน ไฉนจะต้องกลัว

          เท่าที่จะสามารถลำดับภูมิความรู้ทั้งหลายเท่าที่เคยเรียนรู้ฝึกฝนเพื่อที่จะผ่านพ้นวิกฤติผีบ้าสิงใจ ให้เอาตัวรอดได้นั้น มองไม่เห็นอะไรที่จะสามารถรอดพ้นจากผีบ้าสิงใจได้เลย ทบทวนอยู่หลายๆวาระ ก็มองเห็นแค่คำสั้นๆเพียงคำเดียวที่จะช่วยให้รอดพ้นจากผีบ้าสิงใจได้ก็คือ “สติ” มีเพียงสิ่งนี้สิ่งเดียว ฝึกให้มาก ฝึกให้ชำนิชำนาญ ฝึกจนเป็นวสี คือเป็นอัตโนมัติ จึงจะมีโอกาสรอด... ขอให้สติ สัมปชัญญะ จงสถิตย์อยู่ในจิตในกายของท่านทั้งหลาย สวัสดี

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ศาสตราวุธในโลกวิญญาณ

กรรมมันหนีไม่ได้หรอก

บทนำ นิทานขี้โม้