ผีทวงชีวิต

 


ผีทวงชีวิต

          หลังจากเข้าธุดงค์วัดท่าซุงเมื่อปี 2562 ก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ใช้ทิพยจักขุญาณไปเที่ยวสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้าน อันที่จริงก็ไม่ได้เป็นคนสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้านแต่อย่างใด เพียงแต่การไปรู้โน่นเห็นนี่ ก็เพื่อการปลงต่อความเป็นไปของวัฎฎะสงสารเท่านั้นเอง เพียงแต่บางครั้งมันก็จะหนักใจที่ไม่สามารถช่วยเหลือแก้ไขให้กับคนทั้งหลายได้ อย่างเช่น สุภาพสตรีรายหนึ่ง เธอเป็นมะเร็งน้ำเหลือง เพื่อนของเธอได้ติดต่อมา ขอซื้อน้ำมันสมุนไพรสกัด อันเป็นงานวิจัยสำหรับฟื้นฟูสภาพเซลล์ในร่างกาย ด้วยอาศัยหลักการที่ว่า เซลล์มะเร็งไม่ใช่เนื้อร้าย แต่เกิดการแบ่งเซลล์อย่างผิดปกติจากสภาวะแวดล้อมที่วิกฤติ ซึ่งเป็นปฏิกิริยาของเซลล์ของสิ่งมีชีวิต การค้นพบกระบวนการปรับปรุงโครงสร้างเซลล์ให้กลับมาแข็งแรง สมบูรณ์ เป็นปกติ จึงทำให้เซลล์มะเร็ง สลายตัวไปเอง เซรั่มสกัดสมุนไพรนี้จึงดูเหมือนอาหารเสริม หรือเสริมอาหารมากกว่าจะเป็นยา ด้วยวิธีการนี้ ทำให้ไม่ต้องรักษามะเร็งด้วยการใช้พลังจิต อภิญญา ซึ่งก็สามารถทำได้ มีหลายคนที่ผมรู้จักสามารถทำได้ แต่ว่าทำแล้วกรรมเข้าตัว คือคนที่ทำลงไปแม้ว่าจะได้บุญได้กุศลในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ แต่ก็ต้องได้รับผลกรรมที่ไปเปลี่ยนแปลงกฎของกรรมนั่นเอง ซึ่งเรื่องนี้ยังแยกย่อยไปอีกว่า คนที่ช่วยนั้นถ้าเป็นคนดี มีศีลธรรม ก็ดีไป แต่ถ้าเป็นคนไม่ดี การช่วยคนไม่ดีให้มีอายุยืนยาวออกไปเพื่อไปประกอบกรรมชั่ว คนที่ช่วยนี่ก็ได้รับผลกรรมหนักเข้าไปอีก แต่ถ้าช่วยไปแล้วคนนั้นกลับตัวกลับใจเป็นคนดี อันนี้ก็ได้บุญได้กุศลเพิ่ม อีกทั้งการช่วยแบบนี้ ผู้ที่ช่วยต้องเป็นผู้ทรงศีล สร้างบุญกุศลไม่หยุดหย่อน เพื่อไม่ให้กรรมที่จะสะท้อนเข้าตัวนั้นตามทันได้ มันมีเงื่อนไขเยอะ หลายอย่างด้วยกัน แต่ถ้าเราเอางานวิจัยมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ใช้ช่วยเหลือคน แบบนี้กรรมไม่เข้าตัว เหมือนหมอรักษาคนป่วยตามโรงพยาบาล คนป่วยหายก็ไม่ได้บุญ คนป่วยไม่หายหรือตายก็ไม่ได้บาป เพราะทำไปตามหน้าที่ ซึ่งหากเป็นกรรมของเขาต้องตายเสียแล้ว ก็จะมาไม่ถึงหมอบ้าง ไปหาผิดหมอบ้าง ยาที่ให้ไม่ถูกกับโรคบ้าง มันก็เป็นไปตามกรรมตามวาระ เช่นกรณีหนึ่งที่ผมได้เคยเจอมา คือทำอย่างไรก็ตาม เซรั่มเราก็ไปไม่ถึงมือผู้ป่วย จนที่สุดแล้วก็ต้องเสียชีวิตไป แต่สำหรับคนที่เขามีบุญวาสนา เพียงแต่ได้ยิน ได้ฟัง ก็ขอซื้อไปลองกิน ลองใช้ อาการที่ว่าหนักแล้ว น่าจะไม่รอดแล้ว ก็สามารถมีชีวิตรอดได้ หายเป็นปกติ ด้วยความไม่ประมาท คนเหล่านี้ก็จะหันหน้าเข้าวัด ทำบุญ สร้างกุศลต่อๆไป แต่ก็มีคนที่หายจากมะเร็งแล้ว แต่กลับต้องมาเสียชีวิตด้วยกฎของกรรม ดังนิทานเรื่องนี้

 

          บ่ายวันหนึ่งเสียงโทรศัพท์ผ่านไลน์เข้ามาปรึกษาว่า พี่ๆ หนูเป็นอะไรไม่รู้ ร่างกายมันอ่อนเพลีย ไม่มีแรง เหงื่อออกมากลิ่นเหม็นเน่ามาก ผลเลือดออกมาก็ปกติหมด มีเม็ดเลือดแดงที่ต่ำ หมอนัดไปให้เลือด ส่วนผลตรวจมะเร็งน้ำเหลือง หายหมดแล้ว ....  โดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็คงด้วยบารมีครูบาอาจารย์ท่านคุ้มครอง อาทิสมานย์กายก็ไปปรากฏอยู่เบื้องหน้า หญิงผู้นั้น มองไปก็เห็นผีตายโหง เป็นผู้ชาย สิงร่างอยู่จนเต็มตัวคือเป็นร่างซ้อนอยู่ อาศัยเจโตปริยญาณ ก็รู้วาระจิตของผีตายโหงตนนี้ว่า ต้องการจะมาเอาชีวิตหญิงสาวผู้นี้ให้ได้ เธอผู้นี้จะต้องตายใน 1 เดือน ผีตนนี้จะทำให้น้ำเหลืองเน่า เลือดเสีย แล้วเธอผู้นี้จะตาย เวลานั้นก็พิจารณาว่าครูบาอาจารย์ท่านใดพอจะไล่ผีตนนี้ออกไปได้บ้าง ก็เห็นภิกษุชราภาพรูปหนึ่งที่อยู่ในจังหวัดนั้น แต่ว่าสังขารร่างกายของหลวงปู่ท่านไม่ค่อยแข็งแรงแล้ว การจะไปรบกวนท่านดูไม่เหมาะสม จึงได้พิจารณาถึง พอจ.ท่านหนึ่ง ในจังหวัดฉะเชิงเทราว่า ท่านมีวิชา สามารถช่วยเหลือได้ จึงได้แนะนำให้หญิงสาวคนนี้ไปหา เธอตามน้องชายกับน้องสะใภ้ให้ขับรถพาไปให้ เนื่องด้วยตนเองอ่อนเพลียไม่มีแรง

 

          เมื่อถึงวัด พระอาจารย์ ท่านฉันเพลเสร็จ รับแขกได้สักพัก เมื่อเธอกราบเรียนท่านให้ทราบถึงอาการป่วยที่มาหา พระอาจารย์ท่านก็หลบเข้ากุฏิไปสักพักใหญ่ กลับออกมาท่านจึงบอกว่า เป็นผีสองตน ชาย1 หญิง1 คือลูกของโยมที่ไปทำแท้งเอาไว้ เขาจะมาเอาชีวิตโยม หญิงผู้นี้ตอบพระอาจารย์ไปว่า ไม่ได้ทำแท้ง แค่กินยาขับ เพราะเวลานั้นยังไม่พร้อมจะมีลูก แต่ว่าแต่งงานแล้ว เธอว่าเธอไม่ได้ฆ่าลูก พระอาจารย์จึงดุด่าไป ด้วยคงเพราะทำผิดแต่ไม่สำนึกผิดในบาปที่ตนทำ ซึ่งมีไม่มากนักที่เด็กที่ถูกทำแท้งจะอาฆาตไม่ยอมไปผุดไปเกิด เกาะอยู่กับแม่จนอาทิสมานย์กายเติบโตจนเป็นวัยรุ่นได้ พระอาจารย์ได้เรียกวิญญาณทั้งสองไปเกลี้ยกล่อมให้ยกโทษให้ผู้เป็นแม่ (ซึ่งผมเองเห็นแต่ผู้ชายเพียงคนเดียว คงด้วยเพราะความที่ยังเป็นปุถุชนคนหนา ฝึกมายังไม่พอ แล้วคงเพราะไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวด้วยแต่แรก จึงไม่ได้มองไปถึงในรายละเอียดว่าเป็นเช่นไร) พระอาจารย์ท่านเก่งมาก เรียกไปคุยได้ จึงได้เห็นว่า มีด้วยกัน2ตน และทั้งสองก็ยังไม่มีเสื้อผ้าใส่ ด้วยแม่ไม่เคยทำบุญอะไรไปให้เลย พระอาจารย์ได้แนะนำให้หาเสื้อผ้ามาวางไว้ที่บ้าน ชาย1ชุด หญิง1ชุด สวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้กับลูกชาย ลูกสาวทั้งสองคน นิมนต์พระ4รูปมาเลี้ยงพระที่บ้าน(อันนี้เข้าเกณฑ์สังฆทาน ซึ่งมีอานิสสงค์มากตามที่หลวงพ่อฤษีท่านเคยสอนเอาไว้) ท่านให้หมั่นสวดมนต์ อุทิศส่วนกุศลเพื่อขอให้ลูกทั้งสองอโหสิกรรมให้แม่

 

          เมื่อเธอกลับมาบ้าน ก็ไปหาชุดเสื้อผ้า ชายหญิง และรองเท้ามา ไปติดต่อพระไว้ 4 รูป จากนั้นก็ไปตรวจเลือดที่ โรงพยาบาลอีกครั้ง หมอบอกให้ แอดมิด เพื่อให้เลือดเพราะเม็ดเลือดแดงต่ำ(อันนี้ในทางโลกวิญญาณคือ ผีทั้งสองตน อาศัยกินเลือดจากร่างกายของคนที่ถูกสิง อาการจะซีด และเมื่อหนักขึ้นเรื่อยๆน้ำเหลืองจะเสีย กลิ่นเหงื่อจะเหม็นเน่า) อยู่โรงพยาบาลได้สักเดือนหนึ่งก็เสียชีวิต วันที่เสียชีวิตผมก็บังเอิญไปเห็นเธอในชุดผู้ป่วย มือข้างขวาเป็นเด็กผู้หญิงวัยรุ่นจูงไป ข้างซ้ายมือเป็นผู้ชายหนุ่มจูงไป ทั้งสองยังไม่มีเสื้อผ้าใส่ เท้ายังเดินเท้าเปล่า เธอเหลียวหลังมามองผม หน้าตาเศร้าๆ อาลัยอาวรณ์ แล้วก็เดินไปกันทั้งสามตน แม่ลูก เดินไปไหนกัน หลายคนคงอยากรู้ มีแต่ผมเองที่ไม่อยากรู้ เพราะมองออกไปเป็นสถานที่ที่เหมือนมีหมอกควันปกคลุม มีแสงสว่างสลัวๆ ไกลออกไปที่สายตาคนทั่วไปไม่สามารถมองเห็นได้ เป็นภูเขา มีต้นไม้นิดหน่อย มันเป็นภพภูมิอีกภพภูมิหนึ่ง ที่แห้งแล้ง และเป็นที่รอคอย จนกว่าจะหมดอายุขัยแล้วไปตามกฎของกรรม ไม่มีน้ำ ไม่มีอาหาร จะว่าหิวไหม ก็หิวเป็นปกติ อยู่ที่นี่เพื่อรอเวลาเท่านั้น นี่เป็นบ้านเมืองของเหล่าสัมภเวสี มีแต่ความหม่นหมอง อึมครึม ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายหลายอย่างด้วยกัน อย่างแรกเลยคือถ้าเธอจะสำนึกผิดขออโหสิกรรมกับวิญญาณลูกทั้งสองคนต่อหน้าพระอาจารย์ ถ้าวันนั้นเธอไปหาชุดสังฆทานพร้อมผ้าไตรจีวรมาถวายพระอาจารย์แล้วอุทิศส่วนกุศลให้กับลูกทั้งสองคน ลูกเธอจะพ้นกรรมที่จองเวร มีเสื้อผ้าจากอานิสสงค์ของการถวายจีวร หรือเงินมีไม่พอก็เป็นผ้าอาบน้ำฝนก็ได้ ร่างกายของลูกเธอจะเปล่งปลั่งมีรัศมีจากผลของสังฆทานนั้นในทันที แต่เธอไม่ได้ทำ ส่วนพระอาจารย์จะแนะนำเช่นนี้ก็ไม่ได้ เนื่องจากคนทั้งหลายจะหาว่าท่านเห็นแก่อามิสต์ เห็นแต่ลาภสักการะ

 

          เมื่อได้เห็นเหตุการณ์แบบนี้แล้ว ก็พยายามพิจารณาดูว่าเราจะช่วยสงเคราะห์อะไรได้บ้าง จะบอกให้ญาติๆเขาทำสังฆทานไปให้ ก็มองไม่เห็นผลที่จะได้รับ จะให้บวชให้ก็ไม่มีผู้สืบสายเลือดมาบวชอุทิศให้ ด้วยดวงจิตของผู้ตายไม่รับอะไรแล้ว อันนี้ก็ไม่เห็นหนทางช่วยได้ ก็ต้องเป็นไปตามกฎของกรรม ดูแล้วก็ได้แต่ปลงว่า ขึ้นชื่อว่ากรรมชั่วแล้ว อย่าไปหาทำเลย แต่ว่าคนที่เกิดมาแล้วไม่ทำชั่วเลยแทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่เมื่อทำลงไปแล้วสำนึกผิด ก็ขออโหสิกรรมและตั้งใจไว้สองประการคือ 1 เราจะไม่ทำชั่ว 2 เราจะทำแต่ความดี เรื่องกรรมนี้จะว่าซับซ้อนก็ซับซ้อน จะว่าไม่ซับซ้อนมันก็ง่ายๆอยู่นะ คือว่าทำชั่วย่อมได้ชั่ว ทำดีย่อมได้ดี ทำดีบ้างชั่วบ้าง ก็ได้ดีบ้างได้ชั่วบ้าง ขึ้นกับว่าดีหรือชั่วจะมาถึงก่อนกันเท่านั้นเอง ตั้งใจว่าจะไม่เผือกเรื่องชาวบ้านแล้วแต่ก็ยังไปรู้ไปเห็นอะไรเหล่านี้อยู่ ก็คิดเสียว่าเอามาเป็นนิทานก่อนนอน เป็นอุทธาหรณ์ไม่ให้คนคิดทำชั่ว ถ้าทำลงไปแล้วก็ให้รู้สึกสำนึกผิด ไม่คิดทำอีก ขืนไม่สำนึกยังทำผิดซ้ำซาก ถึงเวลานั้นก็ต้องรับกรรมกันไป เท่านั้นเอง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ศาสตราวุธในโลกวิญญาณ

กรรมมันหนีไม่ได้หรอก

บทนำ นิทานขี้โม้