หมดอายุขัย ทำไงดี?

 


หมดอายุขัย ทำไงดี?

          สังขาร คือ ร่างกาย จิตใจ แลรูปธรรม นามธรรมทั้งหมดทั้งสิ้น มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เกิดขึ้นแล้วดับไป มีแล้วหายไป ธรรมดาของร่างกาย มีเกิดขึ้น เปลี่ยนแปลงไป และเสื่อมสลายหายไปในที่สุด ชาวบ้านเรียกว่า ตาย ขึ้นชื่อว่า แก่ ว่าตาย ธรรมดาของปุถุชนคนทั้งหลายย่อมหวาดกลัว ทำไมถึงกลัว ผมเคยพิจารณาในสมัยยังเด็กๆอยู่ว่า ความตายนี่คือไม่หายใจ ผมลองกลั้นลมหายใจแล้วมันทรมานมากๆ นี่แสดงว่าก่อนตายคนเราต้องทรมาน พอโตมา ได้เจอครูบาอาจารย์ ได้ฝึกฝนจิตใจ ให้ได้เห็นความจริงในความกลัวตายนี้ จึงเห็นว่า กลัวหรือไม่กลัว คนเราเกิดมาแล้วต้องตายทั้งหมด ถ้าไม่เกิด(นิพพาน)ก็ไม่ต้องตาย การตายน่ากลัวสำหรับคนชั่ว คนบาป แต่การตายเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับคนดีคนที่สร้างบุญกุศลมาสม่ำเสมอ

 

          เล่าแต่นิทานของผลอกุศลกรรมมามากแล้ว ครานี้จะได้เล่าถึงผลของกุศลกรรมบ้าง พอให้เป็นกำลังใจสำหรับผู้ที่เพียรในการทำบุญ สร้างกุศล ให้ได้ชื่อว่า ทำดีแล้วได้ดี(เมื่อทำถูกคน ถูกที่ ถูกเวลา) ทำบุญย่อมได้บุญ(แต่ว่าอาจจะไม่รวย เพราะบุญกับรวยไม่เหมือนกัน หาไม่แล้ว เจ้าชายสิทธัตถะคงจะไม่สละความรวยออกมาแสวงหาบุญจนพบหนทางพ้นทุกข์ไปได้) อยากรวยก็ต้องสร้างเหตุสร้างปัจจัย คือขยันทำงาน คบมิตรที่เป็นพ่อค้าวาณิช หรือจะไปเล่นการเมืองแล้วโยกย้ายงบประมาณมาเข้ากระเป๋าตัวเอง แบบนี้ก็รวยได้เหมือนกัน ดังนั้นหากต้องการให้ผลเป็นเช่นไร ก็ต้องสร้างเหตุให้เป็นปัจจัยนั้นๆ หากหมกมุ่นในอบายมุกแล้วจะให้เจริญร่ำรวยก็ย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

 

          ในระหว่างเข้าธุดงค์วัดท่าซุง ก็ได้รับการติดต่อมาว่า มีพี่คนนึงเป็นมะเร็งตับ พึ่งผ่าตัด ถ้าจะให้กินเซรั่มสกัดสมุนไพรจากงานวิจัยของ2นักวิจัยสติเฟื่อง จะพอช่วยได้ไหม? แล้วมีการขอให้ถามครูบาอาจารย์ในโลกวิญญาณให้ด้วย ได้เรื่องผลงานวิจัยนี่บอกตามตรงว่า มะเร็งตับ เกิดขึ้นเร็วมาก กว่าที่ผู้ป่วยจะรู้ตัวมันก็ระยะสุดท้ายแล้ว อยู่ได้อีกไม่นานก็ต้องตาย เป็นกรณีวิกฤติ ไม่กล้าทดสอบการใช้เซรั่ม เพราะไม่มีความมั่นใจว่าจะรักษาทันรึป่าว ส่วนเรื่องขอความอนุเคราะห์จากครูบาอาจารย์นั้น ก็รู้สึกว่าเรานี่ขอท่านช่วยชาวบ้านมาหลายสิบปี น่าละอายจริงๆมีแต่รบกวนท่านผู้มีพระคุณ กะว่าออกจากกรรมฐานครานี้แล้วจะไม่ยุ่งเรื่องพวกนี้แล้ว ตัวใครก็ตัวใคร เราน่าจะเลิกเรื่องพวกนี้ หันมาพิจารณาสิ่งชั่วในดวงใจเราที่ยังมีอยู่มาก เร่งรัดการเจริญกรรมฐานให้มาก อายุก็มากขึ้นทุกวัน ร่างกายก็แย่ลงทุกวันตามที่คาดเดาเอาไว้ตั้งแต่สมัยวัยรุ่นนั่นแหละ นึกแล้วว่าต้องแก่(แม้พี่ๆจะบอกว่าปากหมาแบบเอ็ง ข้าว่าไม่น่าจะอยู่จนแก่หรอกนะ) พอแก่แล้วร่างกายมันต้องชำรุดทรุดโทรมแน่ๆ คือเห็นมาแล้ว รายไหนรายนั้น ตอนนั้นเลยรีบฝึกกรรมฐานก่อนจะแก่ ก่อนจะไม่มีแรงฝึก แล้วสุดท้ายมันก็แก่จริงๆด้วย ดีนะที่ได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำก่อนจะแก่จนไม่มีแรงจะทำอ่ะนะ

 

          แต่เนื่องจากยังอยู่ในธุดงควัตร ยังไม่หมดเวลาตามที่ตั้งใจไว้ จึงเผือกเรื่องชาวบ้านอีกจนได้ คืนนั้นก็ขอบารมีครูบาอาจารย์ ลงไปกราบท่านพระยายมราช ที่สำนักพระยายม หลายสิบปีมานี้ไปกราบเรียนถามท่านมาบ่อยมาก จะว่าไปแล้วผมมักจะมานรกมากกว่าจะไปสวรรค์ มันได้อะไรมาเตือนใจหลายอย่างดี แล้วเวลาที่จะมีใครตาย หรือว่าตายแล้วไปไหน หรือจะต่ออายุขัยได้ไหม ผมพบว่ามากราบเรียนถามจากท่านเป็นส่วนใหญ่ ลงไปยังไม่ทันจะเอ่ยปากถาม ท่านพระยายมราชก็ตอบสวนกลับมาทันทีว่า คนนี้หมดอายุขัยแล้ว

 

          เอาเรื่องการดูบุคคลที่สามแทรกสักนิดหนึ่งว่า ผมได้รับการแนะนำมามี 2 วิธีด้วยกัน วิธีแรกคือ พอมีการเอ่ยชื่อถึงคนๆหนึ่ง ก็กำหนดจิตในปัจจุปันญาณ แล้วมองออกไปก็จะเห็นคนผู้นั้นว่าเวลานี้ทำอะไรอยู่ รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร อาศัยอยู่ที่ไหน บริเวณที่อยู่ขณะนี้เป็นอย่างไร แม้แต่ว่าร่างกายภายในเวลานี้ป่วยเป็นโรคอะไรบ้าง ก็สามารถจะรู้เห็นได้ อันนี้น่าจะเป็นมโนมยิทธิเต็มกำลัง ไปในแนวอภิญญาหรือ ฉฬภิญโญ แนวนี้ค่อนข้างยากสำหรับผม อาจจะง่ายสำหรับหลายๆคน แต่ว่าผมนี่ฝึกแล้วฝึกอีก โดนด่าแล้วด่าอีก ขนาดว่าเคยฝึกได้มาแล้วร่วมสองแสนชาติ มาฝึกชาตินี้ใหม่ก็ยังลำบากจริงๆ(ไม่ได้จะบ่นอ่ะนะ) อีกวิธีหนึ่งคือ การมองผ่านสัญญาความจำได้ของบุคคลที่เราคุยด้วย พอเขาเอ่ยชื่อคนที่ให้ช่วยมา เราก็มองผ่านที่หน้าผากของคนนั้น(แม้ว่าจะแชทคุยกันไม่เห็นหน้าเห็นหนวดกันก็ตาม) มองผ่านความทรงจำของคนที่เราเสวนาด้วยก็จะมองเห็นภาพของบุคคลที่สามที่ได้รับการเอ่ยถึง แบบนี้จะมองเห็นได้ว่ารูปร่างหน้าตาเป็นไง แต่จะมองหาเรื่องอื่นๆของคนผู้นี้ไม่ได้ เช่นบุพกรรมเก่า หรือว่าเวลานี้ทำอะไรอยู่ที่ไหน เพราะเป็นการเห็นผ่านความทรงจำเก่าๆตามสัญญาที่คนๆนั้นจำได้

 

          กลับมาว่าต่อถึงตอนที่ไปกราบพระยายมราช ท่านว่าหมดอายุขัยแล้ว ก็กราบเรียนถามท่านว่าคนผู้นี้ยังพอจะต่ออายุขัยได้ไหมครับ เรื่องต่ออายุขัยได้ไหมนี่ ถ้าไม่ถามท่านจะไม่ตอบ ไม่ขอคำแนะนำท่านจะไม่ให้คำแนะนำ ต้องเอ่ยปากเรียนถาม ท่านก็บอกมาว่า คนผู้นี้ทำบุญตามกาล (คำว่าทำบุญตามกาลหมายถึง ใครเขามาชวนใส่ซองทำบุญก็ทำกับเขา ใครเขามาชวนบริจาคก็บริจาคตามเขา ทำบุญวันเกิด และวันสำคัญ แบบนี้เป็นต้น ต่างจากคนที่ชอบทำบุญเสมอๆ แม้ไม่มีใครชวนก็แสวงหาที่ทำบุญตามวัดต่างๆ พระสงฆ์ต่างๆก็ไปกราบ ไปไหว้ ไปทำบุญกับท่าน) พวกที่ทำบุญตามกาลนี่มีผลน้อย เวลาหมดอายุขัยแล้ว จะอาศัยผลบุญเพื่อต่ออายุขัยจะค่อนข้างยาก ต่างจากพวกที่ชอบทำบุญอยู่เสมอๆ สวดมนต์ไหว้พระ เจริญภาวนา แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางช่วยเสียเลยทีเดียว เมื่อกราบเรียนถามท่าน ก็ได้รับคำแนะนำว่า ให้ไปบวชเณร 1 รูป ให้รีบทำ .... เรื่องการบวชเณรนี่เคยกราบเรียนถามท่านว่า บวชเณรรูปนึงจะต่ออายุได้ 3 ปี จำได้แล้วก็อย่าไปถามซ้ำ จะโดนดุเอาเปล่าๆ

 

          ก็มาบอกให้ญาติเค้ารู้ แล้วก็เล่าให้ฟังว่าเรื่องเซรั่มสกัดสมุนไพรนี้ 50/50 เพราะอาการหนัก ไม่เคยลอง เนื่องจากผู้ป่วยส่วนมากกว่าจะตัดสินใจกินได้ก็สายไปเสียแล้ว ยังไม่เคยมีใครที่ตัดสินใจกินในทันที จึงไม่มีผลการทดสอบ ถ้าเจ้แกมีวาสนาก็คงตัดสินใจลองกินในทันที สักครู่ก็ติดต่อกลับมาว่า เอา ขอลอง โอนตังค์ส่งของ เดี๋ยวนี้มันก็ง่าย เพราะคนสกัด คนส่ง เค้าไม่ได้มาเข้าวัดด้วย บอกปุ๊บ รุ่งขึ้นก็ส่งไปให้เลย อธิบายวิธีการทาน และปรับโภชนาการ เรื่องอาหารว่าอะไรที่ควรทาน อะไรที่ควรงด ซึ่งปกติแล้ว มะเร็งตับ หลังจากตรวจพบจะมีชีวิตอยู่ไม่เกิน2เดือน ที่เคยเห็นมาไม่เกินเดือน ร่างกายจะอ่อนเพลีย หมดแรง ตัวบวมน้ำ เพราะมะเร็งตับจะลามไปที่ไต ลำไส้ ม้าม ไขกระดูก แล้วก็กระจายไปทั่วตัว กินอาหารไม่ลง แล้วก็ตาย ค่อนข้างทรมาน อวัยวะภายในร้อนเหมือนโดนไฟเผา ....

 

          มาถึงเรื่องบวชเณร เจ้และญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงก็ช่วยกันหา แต่มาเจอโควิท 19 วัดหลายๆแห่งยกเลิกบวชเณร บางที่ติดต่อไว้แล้ว จู่ๆก็ยกเลิกไปเฉยๆ นี่แหละครับ การต่ออายุ ไม่ใช่ว่าท่านพระยายมราชได้เมตตาแนะนำแล้วจะสามารถทำสำเร็จได้ง่ายๆนะครับ หลายรายบอกแล้วไม่ทำ แล้วก็ตาย หลายๆรายบอกไปแล้วพยายามทำแล้วก็ไม่สำเร็จแล้วก็ตาย มีไม่มากที่ทำได้สำเร็จแล้วรอดชีวิต เหนือ อีสาน กลาง ใต้ ตะวันออก ตะวันตก หาหมดแล้ว ผ่านไป 2 เดือน ก็หาไม่ได้ จนในที่สุด ได้ขอให้น้องสาวไปกราบเรียนถามพระอาจารย์ที่จังหวัดเชียงรายช่วย ท่านบอกว่าได้ จะบวชมะรืน เจ้รู้ดังนั้นก็ตัดสินใจจองตั๋วเครื่องบินแล้วบินไปจังหวัดเชียงรายในวันรุ่งขึ้น ค้างคืนนึงแล้วเช้าอีกวันก็ได้บวชเณร วัดนี้พระอาจารย์สอนเณรสวดมนต์ เจริญกรรมฐาน และแผ่เมตตาให้กับเจ้าภาพบวชเณรด้วย เป็นอันว่าสมใจนึกมาก

 

          ผ่านมากว่า 3 เดือนจนครบกำหนดของทางโรงพยาบาลนัดตรวจเชื้อมะเร็ง ผลตรวจไม่พบเซลล์มะเร็ง ผลเลือดออกมาดี และนัดตรวจอีกครั้ง หลังจากผ่านไป 3 เดือนก็ไม่พบเซลล์มะเร็ง ตรวจอีกเป็นครั้งที่ 3 เมื่อเกือบครบปี ก็ไม่พบเซลล์มะเร็ง เป็นที่น่ายินดีที่มีชีวิตรอดมาได้ ในงานบวชเณรนั้น ผมก็ได้รับเป็นเจ้าภาพบวชเณรด้วย 1 รูป เพื่ออุทิศส่วนกุศลเฉพาะแด่ ลุงพุฒิ พระยายมราช ที่ได้สงเคราะห์และให้คำแนะนำผมมาตลอด หลังจากนั้น เย็นวันหนึ่ง นั่งสบายๆอยู่ ก็เห็นลำแสงสว่างพุ่งมาจากทางเหนือ มายังเจ้ เมื่อมองย้อนไปถึงต้นทาง ก็พบว่ามาจากทางวัดที่เณรบวชอยู่ เป็นกำลังจิตที่อุทิศส่วนกุศลมาให้เจ้ ทำให้รู้สึกพลอยยินดีไปด้วย หลังจากนั้นก็ได้บอกเจ๊ไปว่า มีเวลา 3 ปีนะ ระหว่างนี้อยากทำ(บุญ ทำดี)อะไรก็รีบทำเข้า เป็นโอกาสที่ได้รับ ก็ให้พิจารณาเอาว่า จะเอาโอกาสนี้ไปใช้ทำอะไร คนเราทุกคนต้องตาย กลัวไม่กลัวมันก็ต้องตายกันทุกคน สำคัญที่ว่าตอนมีชีวิตอยู่เราทำอะไรเอาไว้ เพื่อให้การเกิดของเราไม่เป็นหมัน ให้การตายของเราได้พบสุคติภูมิ ไม่ใช่เรื่องจะมากลัวหรือไม่กลัว  หลังจากนั้นมาเจ้ก็สวดมนต์บ่อยๆ มีเข้าวัดไปเจริญกรรมฐานด้วย ก็นับเป็นเรื่องที่ดีอีกเรื่องหนึ่ง และเป็นอุทาหรณ์ให้พวกเราทั้งหลาย หมั่นทำ ทาน ศีล ภาวนา ให้ยิ่งๆขึ้นไป สวัสดี

 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ศาสตราวุธในโลกวิญญาณ

กรรมมันหนีไม่ได้หรอก

บทนำ นิทานขี้โม้